Category Archives: Skincare

อากาศเปลี่ยนทำไม “รังแค” มาจัง ⁉️

หลายคนพออากาศเย็นก็มีรังแคเห่อคันมากขึ้น เรามาทำความเข้าใจเรื่อง รังแคที่หนังศีรษะ ในโพสนี้ค่ะ

ความจริงแล้วรังแคเป็นภาวะที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาด การรักษาส่วนใหญ่เป็นการรักษาให้ภาวะกำเริบหายเร็วขึ้น ส่วนมากใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ต่อการรักษาในแต่ละครั้งของการกำเริบ ร่วมกับการกำจัดปัจจัยกระตุ้นร่วมด้วยไปพร้อมกัน

1. รังแคที่หนังศีรษะ เป็นอาการแสดงอย่างหนึ่งของโรคเซบเดิร์ม

บางคนอาจมีผื่นขุยอักเสบในบริเวณอื่นร่วมด้วย โดยมักจะเป็นที่บริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ เช่น หัวคิ้ว ไรผม ร่องจมูก เครา หลัง หน้าอก

2. รังแคไม่ได้เกิดจากความสกปรก

แต่มีสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดมีต่อมไขมันอักเสบขึ้น ซึ่งไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เชื่อว่ามีหลายปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภาวะนี้ ได้แก่

ต่อมไขมันใต้หนังศีรษะผลิตน้ำมันมากเกินไป จึงเห็นได้ว่า รังแคและผื่นเซบเดิร์มมักเกิดผื่นบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ เช่น ร่องแก้ม หัวคิ้ว หนังศีรษะ อก หลัง เป็นต้น

ความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ที่หนังศีรษะ (Scalp microbiome) ทำให้เกิดการก่อโรค ได้แก่ ยีสต์ Malassezia sp. ซึ่งชอบไขมัน หรือ แบคทีเรีย Staphylococcus, Propionibacterium ที่มากขึ้น

• สภาพอากาศ โดยเฉพาะอากาศเย็น ฤดูหนาว ความชื้นต่ำ ผิวแห้ง จะทำให้รังแคเห่อมากขึ้น

ความเครียด นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายขาดสมดุล จึงทำให้มีรังแคกำเริบได้

• การดื่มแอลกอฮอล์มากไป

• การเสียดสี แกะเกา เป็นการกระตุ้นอีกทางที่ทำให้ผื่นรังแคเห่อมากขึ้น

ปัจจัยทางกรรมพันธุ์

3. ภาวะขาดวิตามินบางอย่างก็สามารถทำให้เกิดรังแคหรือผื่นเซบเดิร์มได้

เช่น วิตามิน B2, B6, Zinc ดังนั้น การทานวิตามินเหล่านี้เสริม สามารถทำได้ในกรณีที่มีการขาดวิตามินร่วมด้วย

4. แชมพูขจัดรังแคตามท้องตลาด

หากมองหาแชมพูตามท้องตลาดที่สามารถขจัดรังแคและควบคุมความมันที่หนังศีรษะได้ ควรเลือกส่วนผสมที่มีสารออกฤทธิ์หลัก เช่น

• Zinc pyrithione 0.5-1% shampoo

• Salicylic acid shampoo

• Sulfur shampoo

5. หากสระผมด้วยแชมพูขจัดรังแคทั่วไปตามข้อ 4 นานประมาณ 2 สัปดาห์แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น

แนะนำให้ลองปรับเป็นกลุ่มแชมพูยา เพราะกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ได้ดีกว่า ตัวที่มีข้อมูลว่าช่วยเรื่องรังแค และหาได้ไม่ยากตามร้านขายยาทั่วไป เช่น แชมพูยา Selenium sulfide

• ควรเลือกใช้ที่แชมพูยา Selenium sulfide ที่มีความเข้มข้น 2.5%

• กลไกออกฤทธิ์ที่เชื่อว่าช่วยเรื่องรังแค คือ ตัวยาสามารถยับยั้งเชื้อ Malassezia แบบ fungicidal, ทำให้มีการหลุดลอกของเชื้อออกจากเซลล์ผิว และยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้

• ช่วยลดอาการคันหนังศีรษะร่วมด้วย

6. นอกจากแชมพูที่เหมาะสมแล้ว ยังต้องสระผมให้ถูกวิธี

แชมพูเหล่านี้ต้องการเวลาในการออกฤทธิ์ ดังนั้น เขย่าขวดก่อน ผสมน้ำชโลมแชมพูที่โคนผมและหนังศีรษะ นวดเบา ๆ ให้เกิดฟอง ทิ้งไว้ 3-5 นาทีเพื่อให้เวลาในการออกฤทธิ์ลดการอักเสบของต่อมไขมันที่หนังศีรษะ แล้วจึงล้างออก แต่ไม่แนะนำให้ใช้แชมพูชโลมที่หนังศีรษะโดยไม่ผสมน้ำเพราะอาจก่อการระคายเคืองได้ และแนะนำใช้ครีมนวดผมเพื่อเพิ่มความนุ่มของเส้นผม

7. ขั้นตอนสระผมสำคัญมาก

เพราะหลายคนใช้แชมพูที่ดีอยู่แล้ว แต่สระผมไม่ถูกวิธี ไม่สระที่โคนผม ไม่ปล่อยทิ้งไว้ 3-5 นาที ก่อนล้างออก ก็อาจจะไม่ทำให้รังแคดีขึ้นได้

8. คนที่มีรังแคควรสระผมด้วยแชมพูเหล่านี้ด้วยความถี่สม่ำเสมอ

อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หากหนังศีรษะมันมากสามารถสระได้ทุกวัน เพราะหนังศีรษะแต่ละคนไม่เหมือนกัน และหากรังแคดีขึ้นแล้ว ก็แนะนำให้ใช้แชมพูต่อเนื่องสัปดาห์ละ 1 ครั้งเพื่อป้องกันการเห่อกลับมาของรังแคในอนาคต

9. จุดนี้หากยังไม่ดีขึ้น แนะนำควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนัง

เพื่อประเมินว่าคุณเป็นรังแคจริงหรือไม่ หรือมีโรคหนังศีรษะอย่างอื่นที่ต้องทำการปรับเปลี่ยนการรักษาหรือเปล่า เพราะบางโรคก็อาจมีอาการคล้ายรังแคได้ เช่น โรคสะเก็ดเงิน ภาวะหนังศีรษะอักเสบอื่น ๆ เป็นต้น เพื่อแพทย์อาจพิจารณาปรับการรักษาอื่นเพิ่มเติม

10. กรณี Tar shampoo มีข้อที่ต้องระวัง

❌ แชมพูมีสีน้ำตาล อาจทำให้ติดเส้นผม สีผมเปลี่ยนได้ จึงควรระวังในกรณีที่ผมสีบลอนด์ เทา หรือ ขาว

❌ ทำให้หนังศีรษะไวต่อแสง ควรใส่ปกป้องหนังศีรษะจากแสงแดดหากต้องออกกลางแจ้ง เช่น ใส่หมวก

Bottom Line

โดยสรุป เป็นรังแคไม่ดีขึ้นสักที ให้ลองสำรวจตัวเองดังนี้ค่ะ

ยังมีปัจจัยกระตุ้นให้รังแคเห่ออยู่หรือไม่

• แชมพูที่ใช้ .. เหมาะสมหรือไม่

ลองปรับแชมพู หากใช้แชมพูขจัดรังแคทั่วไปแล้วไม่ได้ผล อาจลองเปลี่ยนไปใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของสารตัวอื่น หรือกลุ่มแชมพูยา เช่น selenium sulfide ก็ทำให้ได้ผลดีขึ้นได้ 

• วิธีการสระผม .. ถูกต้องหรือยัง

• เป็นโรคของหนังศีรษะอื่น ๆ .. หรือไม่

หากไม่แน่ใจว่าเป็นรังแคจริงหรือไม่ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนัง เพื่อช่วยตรวจวินิจฉัย เนื่องจากอาการ ขุยที่หนังศีรษะนั้นอาจเป็นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งต้องใช้การซักประวัติและตรวจร่างกายเพิ่มเติมค่ะ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านที่ประสบปัญหารังแคกวนใจอยู่นะคะ 

ถ้าชอบและเห็นว่าโพสนี้มีประโยชน์ ช่วยกันกดแชร์เยอะ ๆ นะคะ 

ด้วยความปรารถนาดี

หมอเจี๊ยบ

——————————————

References:

Experimental Dermatology. 2021;30:1546–1553.

Eur J Dermatol. 2017 Jun 1;27(S1):4-7.

Front Cell Infect Microbiol. 2016 Nov 17;6:157.

Selenium Sulfide Monograph for Professionals – Drugs.com

J Clin Investig Dermatol. 2015 December ; 3(2): .

Fitzpatrick 8th edition and Bolognia 4th edition, Textbook of dermatology

——————————————

รวมลิ้งค์ https://linktr.ee/drwarayuwadee

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ฉบับเข้าใจง่าย

อากาศเริ่มหนาวเย็นลง ทำให้หลายคนที่เป็นภูมิแพ้ผิวหนังเกิดอาการผิวแห้งผื่นคันกำเริบมากขึ้น บางคนก็กำเริบ คันมาก เกาจนเป็นแผล เกาจนนอนไม่ได้เลยก็มี โพสนี้หมอสรุปข้อควรรู้เกี่ยวกับโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังมาให้อ่านกันแบบเข้าใจง่าย ๆ ค่ะ

1. โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง หรือ Atopic dermatitis

มักเกิดผื่นคันและผิวแห้ง เรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ อาจพบร่วมกับภาวะภูมิแพ้โพรงจมูก หรือ หอบหืดได้ในบางคน รวมทั้งพบกลุ่มโรคนี้ในพ่อแม่พี่น้องร่วมด้วยก็เป็นได้

2. ภาวะนี้เกิดจากหลายกลไก เช่น

✔️ Skin barrier defect พูดง่าย ๆ คือ การสร้างเซลล์ผิวบกพร่อง โดยเฉพาะการขาดไขมันระหว่างเซลล์ที่ชื่อว่า “เซราไมด์” , การบกพร่องของตัวยึดเกาะเซลล์

✔️ พันธุกรรม บางรายมี filaggrin gene mutation ร่วมด้วยจะมีอาการรุนแรงมากขึ้น อาจเกิดหอบหืด แพ้อาหาร ได้บ่อยกว่าคนที่ยีนนี้ปกติ

✔️ Skin microbiome เสียสมดุลย์

✔️ ภูมิคุ้มกันที่ผิวหนังผิดปกติ

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้คนเป็นโรคนี้มีผื่นคันกำเริบอยู่บ่อย ๆ และติดเชื้อที่ผิวได้ง่ายขึ้น

3. อาการผื่นคันผิวแห้ง

อาจพบได้ตั้งแต่วัยเด็กตั้งแต่ขวบปีแรกได้ถึง 60% แต่บางคนเริ่มเกิดผื่นตอนวัยผู้ใหญ่โดยไม่เคยมีผื่นในวัยเด็กก็เป็นได้

ในเด็กๆ มักมีผื่นที่หน้า ศอก เข่า แขนขา หรือแก้มอักเสบแดงได้บ่อย ส่วนผู้ใหญ่มักมีผื่นที่ข้อพับหรือที่มือได้มากกว่า

ส่วนมากผื่นมักไม่รุนแรง แต่บางรายเป็นผื่นเรื้อรัง คันรุนแรง เกาจนเป็นแผล อาจติดเชื้อตามมา ผิวหนาคล้ำขึ้น และบางคนอาการหนักจนอาจมีภาวะซึมเศร้าตามมาได้เลย

4. การวินิจฉัยโรคนี้จะมีหลายเกณฑ์การวินิจฉัย หากใครที่กำลังมีลักษณะเบื้องต้นดังต่อไปนี้

✔️ ผื่นคันเป็น ๆ หาย ๆ

✔️ ผื่นลักษณะเข้าได้กับโรคนี้ (แพทย์เป็นผู้วินิจฉัย)

✔️ เป็นภูมิแพ้จมูกหรือหอบหืด หรือ มีคนในครอบครัวเป็น

และไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นโรคนี้หรือไม่ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อช่วยประเมินค่ะ

5. การทำ Skin test

ในกรณีที่สงสัยว่าแพ้อะไร จะทำเพื่อเป็นการยืนยันเมื่อมีสิ่งกระตุ้นที่สงสัยแล้วเท่านั้น ยังไม่มีคำแนะนำให้ต้องทำเพื่อ screening ในทุกราย ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ คือ บางคนต้องการขอทำ skin test หาว่าตัวเองแพ้อะไรโดยไม่สามารถระบุสิ่งกระตุ้นให้ผื่นเห่อได้ แบบนั้นยังไม่มีข้อมูล จึงยังไม่แนะนำให้ทำ

6. คนเป็นโรคนี้มักถูกกระตุ้นได้จากสิ่งเหล่านี้ได้บ่อย

ได้แก่ ขนสัตว์ เหงื่อ ความเครียด สูบบุหรี่ มลภาวะทางอากาศ ไรฝุ่น ซึ่งแนะนำว่าหากเป็นไปได้ก็ควรหลีกเลี่ยงค่ะ

ส่วนเรื่องอาหาร บางคนอาจแพ้พวกนม ไข่ แป้งสาลี ถั่ว ก็ควรงดถ้าทานแล้วมีอาการกำเริบ แต่หากไม่ได้มีอาการแพ้หรือผื่นเห่อหลังทานอาหารเหล่านี้ ก็แนะนำว่าไม่จำเป็นต้องงดทาน โดยเฉพาะเด็กเล็กหากงดอาหารบางอย่างโดยไม่จำเป็น อาจทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็นบางชนิดได้

7. การปฏิบัติตัวพื้นฐานเมื่อเป็นโรคนี้

✔️ ดูแลผิวหนังโดยการทาสารให้ความชุ่มชื้นผิวอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น และ อาจเติมระหว่างวันได้ในกรณีที่ผิวแห้งมาก

✔️ ทาครีมหลังอาบน้ำทันที 3-5 นาที

✔️ เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยน

✔️ อาบน้ำ 1-2 ครั้ง/วัน และไม่ควรอาบน้ำร้อนเกินไป โดยอุณหภูมิที่แนะนำ คือ 27-30 องศาเซลเซียส

❌ ไม่ควรอาบน้ำนานเกิน 5-10 นาที

❌ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของธัญพืช ข้าวโอ๊ต ถั่วลิสง เพราะอาจเป็นสารก่อภูมิแพ้ได้

❌ ไม่ใส่เสื้อผ้าที่แน่นคับจนเกินไป เลี่ยงผ้าขนสัตว์ เพราะระคายเคืองผิวได้ แนะนำเลือกผ้าที่ไม่ระคายเคืองผิว เช่น คอตตอน เป็นต้น

8. การเลือกสกินแคร์สำหรับคนเป็นโรคนี้

หากเป็นไปได้ ควรเลือกดังนี้

✔️ ช่วยเติมเซราไมค์ที่หายไป เช่น Ceramide 1, 3, 5, 6 และสารอื่น เช่น arginine, phytosphingosine, pyrrolidone carboxylic acid (PCA)

✔️ มีสารช่วยลดการอักเสบ ช่วยลดอาการคันได้

✔️ มีสารต้านอนุมูลอิสระ

✔️ มีสารที่ช่วยปรับสมดุลของ Skin microbiome ได้

หากมีคุณสมบัติข้างต้นก็จะเป็นทางเลือกที่ดีเพราะแก้ปัญหาได้ตรงจุด

และหากคนที่ผิวแห้งมากก็แนะนำเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งส่วนผสมของ occlusive, humectant และ emollient ร่วมด้วยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น

ยกตัวอย่าง FYNE Ectoin Reviving Intense Moisturising Cream ก็มีคุณสมบัติดังกล่าวครบ (แนบรายละเอียดเพิ่มเติมไว้ท้ายบทความ)

9. การรักษาเมื่อมีผื่นผิวหนังอักเสบกำเริบ ได้แก่

✔️ ยาทาต้านการอักเสบ เช่น ยาทากลุ่มสเตอรอยด์ หรือ Topical calcineurin inhibitors

✔️ หากมีอาการคันสามารถทานยาแก้คันได้

หากรักษาแล้ว 7-10 วันยังไม่ดีขึ้น แนะนำพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

✔️ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจพิจารณาการรักษาอื่น เช่น ยาทา Crisaboral, การฉายแสง, การให้ยากดภูมิคุ้มกัน หรือ ยากลุ่มชีวภาพ เช่น dupilumab เป็นต้น

10. เมื่อผื่นสงบแล้ว

ก็ต้องทามอยซ์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสมต่อไปอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยลดการกำเริบของผื่น และช่วยลดการใช้ยาทาสเตอรอยด์ตอนผื่นเห่อลงได้อีกด้วย

สุดท้ายนี้หมออยากบอกว่า..

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความรู้ความเข้าใจในตัวโรคว่าเป็นภาวะที่มีความบกพร่องของผิว จึงต้องให้ความใส่ใจกับการดูผิว ทาครีมเพิ่มความชุ่มชื้นเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ อาบน้ำให้ถูกต้อง เพื่อแก้ปัญหาตรงจุด และเป็นการป้องกันการกำเริบของผื่นในอนาคตได้เป็นอย่างดี

หากใครที่กำลังมีผื่นแห้งแดงคันอยู่เรื้อรังและไม่แน่ใจว่าเป็นโรคนี้หรือไม่ แนะนำปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังช่วยประเมินนะคะ

ถ้าชอบและเห็นว่าบทความนี้เป็นประโยชน์ สามารถกดเลิฟกดแชร์ได้เลยค่ะ

ด้วยความปรารถนาดี .. หมอเจี๊ยบ

——————————————

References:

J Dermatol 2021;48:130-9.

Allergy. 2021 Apr;76(4):1053-1076.

J Allergy Immunol Pract 2020;8:91-101.

Nat Rev Microbiol 2018;16(3):143-55.

J Clin Dermatol 2010;1:33-46.

Allergy 2000;56:1034-41.

Lancet 2006;386:733-43.

——————————————

Disclaimer:

[สนับสนุนความรู้โดย FYNE]

🌟 FYNE Ectoin Reviving Intense Moisturising Cream (ครีมบาล์ม ปราบผิวแห้ง)

เหมาะสำหรับผิวแห้งถึงแห้งมาก หรือผู้ที่มีปัญหาผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบเป็นประจำ

ส่วนผสมหลัก

Ectoin 2% เพิ่มความชุ่มชื้น และ ปรับสมดุลของ skin microbiome มีข้อมูลการศึกษาว่าการทาอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยลดการใช้ยาทาสเตอรอยด์ได้ชัดเจน

Niacinamide 5%, vitamin E ช่วยลดการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ

Centella asiatica extracts ช่วยลดการระคายเคือง

Ceramide 5 ชนิด, amino acid, cholesterol, triglyceride, urea, glycerin ซึ่งเป็นส่วนผสมเลียนแบบสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติผิว (Natural Moisturizing Factors) ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและแข็งแรงขึ้น

Hyaluronic acid & Sodium hyaluronate รวม 4 ขนาดโมเลกุล ครบทั้ง oligo, low, middle, high MW ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ทุกชั้นผิว

วิธีใช้

ทาทั่วใบหน้า หรือทาเฉพาะบริเวณที่แห้งหรือระคายเคือง

เลือกปรับทาได้ 2 วิธี ตามสภาพผิว

1. ทาเหมือนบำรุงปกติ

2. วอร์มเนื้อบนฝ่ามือจนใส แล้ว Tap บนผิว

——————————————

รวมลิ้งค์ https://linktr.ee/drwarayuwadee

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

10 คำถามเรื่อง การกินแอสตราแซนทิน & คอลลาเจนเปปไทด์ เพื่อชะลอผิวเสื่อมวัย 30+ ‼️

ถ้าอยากเริ่มต้นดูแลผิวตอนอายุ 30 ปี ควรเริ่มแบบไหนดี ?

แนะนำแบบนี้ค่ะ เบสิคที่ควรมี ได้แก่
1.ทานอาหารให้ครบหลักโภชนาการ
2.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
3.ดื่มน้ำ 8-10 แก้ว/วัน
4.ทาสกินแคร์ที่เหมาะสม สำหรับใครที่อยากเริ่มต้นดูแลผิวในวัยสามสิบ แนะนำว่าอย่างน้อยควรมี Sunscreen, antixidant, moisturizer และอาจมีกลุ่มผลัดเซลล์ผิวร่วมด้วย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

1. อาหารเสริมหรือพวกวิตามินจำเป็นไหม ❓

ตามชื่อเลยค่ะ อาหารเสริมก็เพื่อทานเสริมกับอาหารหลัก ซึ่งในทางการแพทย์อาจพิจารณาในกรณีมีปัญหาเรื่องการดูดซึมหรือขาดสารอาหาร โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาขึ้นกับคนไข้แต่ละรายว่าต้องเสริมอะไร ในคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องระบบร่างกายและทานอาหารได้ปกติดีก็อาจจะยังไม่จำเป็น
ส่วนใครที่คิดว่าไม่สามารถทานอาหารหลักได้ครบ ไม่มีข้อห้ามและอยากจะทานวิตามินหรืออาหารเสริมก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ควรเลือกให้เหมาะทั้งชนิดและปริมาณ เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงที่อาจตามมาได้

2. ถ้าอยากทานอาหารเสริมหรือวิตามินเพื่อบำรุงผิวในวัย 30 ล่ะ ควรเลือกอย่างไรดี ❓

เมื่อเราอายุมากขึ้น ระบบต่าง ๆ ในร่างกายก็ต้องมีการเสื่อมลงไปเรื่อยตามวัย ระบบผิวหนังก็เช่นกัน ความเสื่อมของผิวหนังตามวัยนั้นเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 25-30 ปี และอาจเร็วขึ้นถ้ามีปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น รังสียูวี มลพิษ แอลกอฮอล์ บุหรี่

ซึ่งวัยนี้เป็นจุดที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของผิว เช่น
✔️ สร้าง collagen & elastic fiber ใต้ผิวลดลง
✔️ Hyaluronic acid ในผิวชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ ลดลง ส่งผลให้ผิวแห้งมากขึ้นและกักเก็บความชุ่มชื้นได้ลดลง

ดังนั้น ถ้าอยากทานอาหารเสริมหรือวิตามินช่วงวัยเข้าสู่อายุ 30 ก็ควรเน้นกลุ่มที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิวได้ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว หรืออาจเป็นกลุ่มที่ช่วยต้านอนูมูลอิสระที่มาทำร้ายผิวได้ ยกตัวอย่างเช่น vitamin C, E, astaxanthin, alpha lipoic acid, coenzyme Q10 เป็นต้น

3. Astaxanthin คืออะไร ❓

เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง ช่วยยับยั้งการเกิดปฎิกิริยาที่ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในไมโทคอนเดรียของตับได้

✔️ มากกว่า Vitamin E ถึง 1,000 เท่า
นอกจากนี้ยังช่วยยับยั้งการเกิดออกซิเดชั่นของอนุมูลอิสระได้มากกว่าสารอื่นๆ ดังนี้
✔️ มากกว่า Grape seed extract 17 เท่า
✔️ มากกว่า Beta carotene 40 เท่า
✔️ มากกว่า Alpha lipoic acid 75 เท่า
✔️ มากกว่า Vitamin E & Alpha tocopherol 550 เท่า
✔️ มากกว่า Green tea extract 550 เท่า
✔️ มากกว่า Coenzyme Q10 800 เท่า
✔️ มากกว่า Vitamin C 6000 เท่า

4. ประโยชน์ของ Astaxanthin ในแง่ผิวหนังมีข้อมูลอะไรบ้าง ❓

ข้อมูลพบว่า เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีเยี่ยม ช่วยให้ผิวแลดูอ่อนวัย ระยะยาวช่วยให้ริ้วรอยเล็ก ๆ ที่ผิวและจุดด่างดำ ดีขึ้นได้
หลักฐานทางการวิจัยที่มีทำในมนุษย์และค่อนข้างได้ผลชัดเจน คือ การรับประทานในแง่บำรุงผิวชุ่มชื้นและต้านอนุมูลอิสระ อาจได้ผลดีในกลุ่มคนเหล่านี้

✔️ ผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพทุกเพศทุกวัย
✔️ ผู้ที่ใส่ใจในความงามและสุขภาพผิว
✔️ ผู้ที่ต้องเผชิญกับมลภาวะต่างๆเป็นประจำเช่นความเครียด ฝุ่นควันจากท่อไอเสียรถยนต์ เป็นต้น
✔️ นักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ

5. ถ้าไม่อยากทานอาหารเสริม Astaxanthin จะหาทานได้จากอาหารประเภทไหนมีAstaxanthin เยอะบ้าง ❓

แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารในกลุ่มแซนโทรฟิลล์ ตระกูลแคโรทีนอยด์ มีลักษณะเป็นสารสีแดงที่พบมากในอาหารเหล่านี้ค่ะ
🍣 ปลาแซลมอน
🐟 ไข่ปลาคาร์เวียร์
🦐 เปลือกปู กุ้ง
🥦 สาหร่าย ชนิด Microalgae Haematococus Pluvialis
🦅 ขนสีชมพูในนกฟลามิงโก

6. ปริมาณที่แนะนำให้ทาน Astaxanthin เท่าไหร่ที่ช่วยเรื่องผิวพรรณได้ ❓

ไม่มีปริมาณที่ระบุแน่นอน แต่การศึกษาวิจัยส่วนใหญ่ที่ไม่พบผลข้างเคียง มีดังนี้
🍬 ทานเดี่ยวๆ ปริมาณ 1-12 มิลลิกรัมต่อวัน ต่อเนื่อง 8-12 สัปดาห์ พบว่าริ้วรอยเล็ก ๆ ที่ผิวแลดูลดลง ผิวชุ่มชื้นขึ้น
🍬 ทานร่วมกับวิตามินอื่น ๆ ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ปริมาณ 4 มิลลิกรัมต่อวัน ต่อเนื่อง 12 เดือน
🍬 ทานพร้อมอาหารจะเพิ่มการดูดซึมได้ดีขึ้น

7. แอสตาแซนธินสะสมในร่างกายมั้ยคะ ❓

✔️ ไม่สะสมในร่างกายค่ะ ไม่เปลี่ยนโครงสร้างเหมือนกับวิตามินบางชนิด โครงสร้างของโมเลกุลเรียงตัวได้ดีกว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ
✔️ บางรายพบผลข้างเคียง (ไม่ขึ้นกับขนาดที่ทาน) คือ มีอาการแพ้ได้บางราย, ความต้องการทางเพศลดลง, สีผิวเข้มขึ้น, ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำลง, ความดันโลหิตต่ำลงได้

8. บุคคลใดที่ไม่แนะนำให้ทาน ❓

❌ ตั้งครรภ์และให้นมบุตร
❌ มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับ Autoimmune disease
❌ ทานยากดภูมิคุ้มกัน
❌ แพ้สารในกลุ่ม Carotenoids, Astaxanthin
❌ กระดูกพรุน โรคพาราไทรอยด์ แคลเซียมต่ำ
❌ คนที่กินยากลุ่ม 5 alpha reductase inhibitors เนื่องจากเสริมฤทธิ์ให้ฮอร์โมนเพศชายลดน้อยลง

9. แล้วเรื่องการทานคอลลาเจนช่วยลดริ้วรอยได้ไหม ❓

มีข้อมูลทางคลินิกและในหลอดทดลอง พบว่าการทาน Hydrolyzed collagen peptides มีทั้งข้อมูลที่พบว่าได้ผลดีและไม่แตกต่าง แต่ข้อมูลส่วนใหญ่พบว่าช่วยเรื่อง ผิวพรรณให้ดีขึ้นได้ในเรื่องเหล่านี้ คือ

✔️ เพิ่มความชุ่มชื้นผิว (skin hydration)
✔️ เพิ่มเส้นใยคอลลาเจนที่ผิวชั้นหนังแท้
✔️ เพิ่มการสร้าง GAGs & อิลาสติน
ส่งผลโดยรวมให้ผิวหนังชุ่มชื้นและยืดหยุ่นมากขึ้น คุณภาพผิวดูดีขึ้น ริ้วรอยเล็ก ๆ ที่ผิวดูลดลง

กลไกหลักของการทานคอลลาเจนต่อผิวหนัง มี 2 อย่าง คือ
1.มีการดูดซึม collagen-derived peptides ผ่านลำไส้ ไปกระตุ้นไฟโบรบลาสต์ให้สร้าง ECM
2.กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนผ่านทางระบบอิมมูนร่างกาย

อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพต้องขึ้นกับปัจจัยอื่นด้วย เช่น ชนิดและขนาดโมเลกุลของคอลลาเจนที่ทาน, การดูดซึม, การกระจายตัวไปออกฤทธิ์ยังเซลล์ผิวหนัง รวมทั้งอายุของผู้ทาน ถ้าหากสูงวัยกว่าก็อาจจะเห็นผลช้ากว่าและน้อยกว่า

10. ปริมาณการทานคอลลาเจนเปปไทด์ ที่ช่วยเรื่องผิวพรรณ ❓

ต้องบอกก่อนว่าถ้าเราทานโปรตีนเพียงพอต่อวันแล้วก็อาจจะไม่จำเป็นต้องทานคอลลาเจนก็ได้ เพราะโปรตีนจากแหล่งอาหารหรือเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ที่เราทานเข้าไปก็สามารถถูกนำไปสร้างคอลลาเจนที่ผิวหนังได้ แต่หากใครคิดว่าตัวเองทานอาหารหลักไม่เพียงพอ ก็อาจทาน คอลลาเจนเปปไทด์เป็นทางเลือกเสริมได้ โดยยังไม่มีขนาดรับประทานที่กำหนดไว้ชัดเจน แต่มีข้อมูลปริมาณการทานจากงานวิจัยที่เห็นการเปลี่ยนแปลง คือ

✔️ ด้านผิวพรรณ ประมาณ 2.5–5 กรัมต่อวัน
✔️ ด้านความแข็งแรงกระดูกและข้อต่อ ประมาณ 10-15 กรัมต่อวัน
โดยเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังทานนาน 60-90 วัน และผลจะคงอยู่ไปได้อีกประมาณ 1 เดือน ดังนั้น ต้องอาศัยการต่อเนื่องร่วมด้วย

ปัจจุบันอาหารเสริมคอลลาเจนเปปไทด์และแอสตราแซนทินมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งรูปแบบเม็ด แบบผงชงดื่ม หรือ แม้แต่แบบใหม่ล่าสุด คือ เป็นแท่งเจลลี่สตริป ที่ถูกพัฒนาไอเดียนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ลิขสิทธิ์ของบริษัท ซันโทรี่ ซึ่งเป็นรูปแบบที่ทานง่าย สะดวก และรสชาติดี

อย่างไรก็ตาม เราสามารถเลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยสารแอสตาเซนธิน เช่น ในเนื้อสีแดงสวยของปลาแซลมอน หรือแม้แต่การลองรับประทานกุ้งตัวเล็กทั้งเปลือก หรือ อาจเลือกทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ถั่วต่าง ๆ เพื่อให้ร่างกายนำไปเสริมสร้างคอลลาเจนต่อไป

ยังไม่มีคำแนะนำให้ต้องทานอาหารเสริมหรือวิตามินทุกคน อย่างที่บอกคือเป็นอาหารเสริม การจะรับประทานหรือไม่นั้น ขึ้นกับการตัดสินใจส่วนบุคคล หากใครที่อยากเสริมก็แนะนำให้ศึกษาข้อมูลหลักฐานทางงานวิจัย เลือกอาหารเสริมที่มีแหล่งที่มาชัดเจน ไม่มีโลหะหนักเจือปน ผ่านการรับรองมาตรฐานการผลิต ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย และ อย่าลืมเช็คว่ามีโรคประจำตัวหรือข้อห้ามอะไรในการทานอาหารเสริมหรือไม่ หากไม่แน่ใจแนะนำปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมค่ะ


[Disclaimer] สนับสนุนเนื้อหาความรู้โดย

BRAND’S Jelly Strip ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมนำเข้า ผลิตโดยบริษัท ซันโช ฟาร์มาซูติคอล จำกัด ประเทศญี่ปุ่น

• กล่องแดง สูตร Astaxanthin & Collagen Peptide รสทับทิม
เหมาะสำหรับคนที่อยากเสริมการปกป้องผิวจากสารอนุมูลอิสระ เสริมการสร้างคอลลาเจน
ส่วนผสม
Collagen Peptide จากปลา 1,500 มก./ซอง
Astaxanthin สกัดจากสาหร่าย Haematococcus pluvialis 1 มก./ซอง
พลังงาน 25 Kcal/ซอง
ขนาดบริโภค 1-2 ซอง/วัน
ไม่แนะนำสำหรับคนแพ้ปลา, ถั่วเหลืองและถั่ว
เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน

กล่องชมพู สูตร Niacinamide & Collagen Peptide รสองุ่น
เหมาะสำหรับคนที่อยากเสริมการปกป้องผิวจากสารอนุมูลอิสระ ช่วยเรื่องรอยดำจากการอักเสบ
ส่วนผสม
Collagen Peptide จากปลา 1,500 มก./ซอง
Niacinamide 6 มก./ซอง
พลังงาน 25 Kcal/ซอง
ขนาดบริโภค 1-2 ซอง/วัน
ไม่แนะนำสำหรับคนแพ้ปลา, ถั่วเหลืองและถั่ว
เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน

หาซื้อได้ที่วัตสันทุกสาขา


References:
Int J Dermatol. 2021 Dec;60(12):1449-1461.
J Am Acad Dermatol. 2021 Apr;84(4):1042-1050.
J Cosmet Dermatol. 2020 Nov;19(11):2820-2829.
Oxid Med Cell Longev. 2020 May 11;2020:8031795.
Nutr Res. 2018 Sep;57:97-108.
Mol Nutr Food Res 2011; 150-165.
Am J Cardiol 2008; 58-68.
Ophthalmology 2008; 324-333.
Phytomedicine 2008; 391-399.

รวมลิ้งค์ https://linktr.ee/drwarayuwadee

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

ขาหนีบ รักแร้ ซอกคอ และก้น ดำคล้ำทำไงดี ‼️

ทุกคนล้วนให้ความสำคัญกับการดูแลผิวหน้าและผิวกายที่อยู่นอกร่มผ้าเป็นอย่างดีอยู่แล้ว โพสนี้เลยอยากจะขอพูดถึงการดูแลผิวบริเวณซอกพับ ขาหนีบ ก้น หรือรักแร้ เพราะหลายคนอาจมองข้ามไป เชื่อว่ามีหลายคนที่ประสบปัญหารอยคล้ำที่ผิวหนังจุดลับและบริเวณขาหนีบ ซึ่งทำให้บางคนไม่มั่นใจในการทำกิจกรรมต่าง ๆ หรืออาจจะไม่กล้าแต่งตัวใส่บิกินีหรือเสื้อแขนกุดด้วยเพราะเหตุนี้ก็ได้ค่ะ

เรื่องของ อวัยวะเพศสีคล้ำ กับ ซอกขาหนีบและก้นดำคล้ำ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าสาเหตุอาจไม่เหมือนกันทั้งหมดซะทีเดียว

บางคนอาจจะเข้าใจว่าคนที่มีอวัยวะเพศคล้ำเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์บ่อยๆ แต่ไม่ใช่เสมอไป การที่อวัยวะเพศมีสีคล้ำนั่นเพราะสีของอวัยวะเพศถูกกำหนดด้วยพันธุกรรมของเม็ดสีเมลานินในแต่ละบุคคล หรืออาจเกิดจากปัจจัยเสริมอื่น เช่น การเดินเสียดสีบ่อยๆ ใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นเกินไป การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เป็นต้น
ซึ่งหากเป็นด้วยเหตุเพราะสีของเมลานินที่ติดตัวเรามา ก็อาจจะไม่มียาหรือผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้อวัยวะเพศขาวขึ้น แต่การเลี่ยงพฤติกรรมเสียดสี
ก็อาจช่วยให้สีผิวบริเวณนั้นจางลงได้บ้างแต่ไม่ทั้งหมดค่ะ

ผิวบริเวณขาหนีบและบริเวณก้นค่อนข้างจะบอบบาง แม้แต่เสื้อผ้าหรือกางเกงที่สวมใส่ ก็ไม่ควรรัดแน่นเกินไป
✔️ มีข้อมูลว่าการใส่กางเกงยีนส์แน่น ๆ เกิน 4 ครั้งต่อสัปดาห์ สามารถทำให้มีอาการเจ็บ ปวดแสบ บริเวณอวัยวะเพศเพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
✔️ การใส่กางเกงยีนส์แน่นมากจะเพิ่มความอับชื้นบริเวณขาหนีบ ส่งผลให้มีการติดเชื้อราบริเวณขาหนีบและช่องคลอดได้
✔️ การเสียดสีจากเสื้อผ้าที่รัดแน่นหรือเสียดสีบริเวณขอบกางเกง ส่งผลให้เกิดรอยดำคล้ำบริเวณขาหนีบหรือแก้มก้นได้ และยังพบว่ามีปัจจัยอื่นที่อาจส่งผลให้ผิวบริเวณขาหนีบและบริเวณก้นคล้ำขึ้น เช่น การนั่งที่พื้นแข็ง ๆ เป็นเวลานานเป็นประจำ, การอาบแดดหรือตากแดดบ่อย ๆ, การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในช่วงตั้งครรภ์, กรรมพันธุ์, ผื่นแพ้สัมผัสจากเส้นใยถักทอเสื้อผ้าบางชนิด และ การดูแลรักษาความสะอาดไม่ดีอาจส่งผลให้เกิดรูขุมขนอักเสบและเกิดรอยดำตามมาได้
ดังนั้น หากใครไม่อยากให้ผิวบริเวณนี้ดำคล้ำมากขึ้น จึงต้องให้การดูแลเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ ทั้งการเลือกเสื้อผ้า การดูแลความสะอาด การปกป้องผิวจากแสงแดด และเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวให้เหมาะสม ก็จะช่วยลดความคล้ำบริเวณนี้ได้

คราวนี้อยากให้ทุกคนรู้จัก ภาวะหนึ่งที่ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า ‘Acanthosis nigricans’ คือ การมีผิวส่วนซอกพับ ขาหนีบ รักแร้ ซอกคอ เกิดผื่นหนาตัว สีคล้ำขึ้น เหมือนขี้ไคลที่ขัดไม่ออก อาจขรุขระคล้ายกำมะหยี่ บางรายพบที่มือ ปาก อวัยวะเพศ หัวนม เยื่อบุตา แก้ม ร่วมด้วยได้

ภาวะ acanthosis nigricans เกิดจากมีการกระตุ้นให้มีการเพิ่มจำนวนของ epidermal keratinocytes & dermal fibroblasts โดยเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับ Insulin, Insulin-liked Growth factor (IGF), FGFR ที่อยู่บน keratinocyte & fibroblasts

ภาวะนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น

• โรคทางกรรมพันธุ์บางอย่าง
• โรคทางต่อมไร้ท่อ เช่น Cushing syndrome, PCOS, Acromegaly, เบาหวาน
• โรคทางอิมมูน เช่น โรคลูปุส, โรคหนังแข็ง
• เนื้องอกหรือมะเร็ง บางชนิด ซึ่งรอยดำอาจนำมาหรือตามหลังการเกิดมะเร็งก็ได้ โดยผื่นดำมักเป็นเร็ว และเป็นเยอะ ตอบสนองต่อการรักษาไม่ค่อยดีนัก แต่มักดีขึ้นหลังจากมะเร็งต้นเหตุได้รับการรักษา
• ภาวะน้ำหนักเกิน กลุ่มนี้บางคนอาจเป็นเบาหวานในอนาคต
• การทานยาบางอย่าง เช่น ยาลดไขมันบางตัว ยาสเตอรอยด์ ยาฮอร์โมนบางชนิดพวก Estrogen, Insulin andoral contraceptive pills, โกร์ทฮอร์โมน, อาหารเสริมนักเพาะกาย, ยาไทรอยด์, Nicotinic acid ซึ่งหลังหยุดยา อาการรอยดำมักดีขึ้น

สาเหตุ Acanthosis nigricans

ซึ่งทั้งหมดนี้ ต้องหาสาเหตุเพื่อรักษาให้ตรงจุดค่ะ แนะนำว่าหากมีรอยคล้ำที่ซอกพับ ขาหนีบ รักแร้ ที่ไม่แน่ใจ ลองดูดังนี้

• หากน้ำหนักเยอะ ให้ลดน้ำหนัก
• ตรวจหาเบาหวาน ไขมันสูง ความดัน
• หากขาหนีบดำเกิดจากการตั้งครรภ์ รอยคล้ำมักดีขึ้นหลังจากคลอดบุตรแล้วประมาณ 3 เดือน
• หากทานยาข้างต้น ลองปรึกษาแพทย์ปรับยาที่เป็นสาเหตุ
• หากมีน้ำหนักลด ผื่นเป็นเร็วและรุนแรง แนะนำปรึกษาแพทย์เพื่อมองหาสาเหตุ เช่น เนื้องอก มะเร็ง
• เลี่ยงพฤติกรรมเสียดสี เช่น ไม่ใส่เสื้อผ้ารัดแน่นเกินไป, ลดน้ำหนัก, ลดพฤติกรรมหรือการออกกำลังกายเสียดสี

การรักษา acanthosis nigricans

หากมีรอยดำคล้ำที่เป็นมาก แนะนำปรึกษาแพทย์พิจารณารักษาด้วยกลุ่มยาที่มีข้อมูลว่าช่วยลดรอยดำคล้ำจากภาวะนี้ ได้แก่

กลุ่มยาทา

Topical Retinoids ดีสุดคือ Tretinoin 0.05-0.1% มีบางคนตอบสนอง adapalene, tazarotene 0.05% หรือ อนุพันธ์ของวิตามินเอ แต่ระวังการใช้เพราะอาจระคายเคืองได้ในบางคน

กลุ่มผลัดเซลล์ผิว เช่น Lactic acid, AHA, 15% TCA peeling ช่วยเสริมฤทธิ์ได้

Topical vitamin D analogues พบว่าเริ่มดีขึ้นหลังใช้อย่างน้อย 3 เดือน

กลุ่ม Keratolytics เช่น Ammonium lactate, 10-20% urea cream, Salicylic acid

Modified Kligman triple combination (tretinoin 0.05%, hydroquinone 4%, fluocinolone acetonide 0.01%) และ Original Kligman triple combination formula (5% HQ, 0.1% tretinoin, and 0.1% dexamethasone) ก็มีข้อมูลว่าช่วยได้ แต่ระวังผลข้างเคียง ไม่แนะนำให้ซื้อใช้เอง

กลุ่ม lightening agents

มักผสมในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ สามารถหาซื้อได้ง่าย หากต้องการแก้ปัญหาผิวตามซอกพับ ขาหนีบ รักแร้ แก้มก้น ดำคล้ำ ในเบื้องต้นอาจลองมองหาผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน และช่วยในกระบวนการสร้างเม็ดสีผิว แต่หากไม่ดีขึ้นแนะนำปรึกษาแพทย์เพื่อช่วยประเมินว่ามีความผิดปกติของภาวะ acanthosis nigricans หรือไม่

ยกตัวอย่าง ส่วนผสมที่ช่วยเรื่องรอยคล้ำ เช่น

Azelaic acid, kojic acid, licorice extract, arbutin, niacinamide, ascorbic acid, fish oils etc.

สารสกัดจากธรรมชาติอื่น ๆ เช่น Alafalfa extract (Medicago sativa) ซึ่งอุดมไปด้วย galactomannan มีคุณสมบัติคล้ายเรตินอล (retinol-like active ingredient) ช่วยกระตุ้นการสร้าง collagen l ได้โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์สลายคอลลาเจน metalloproteinases และ มีข้อมูลสามารถยับยั้งการเปลี่ยนแปลง L-DOPA เป็น dopaquinone จึงลดการสร้างเม็ดสีในหลอดทดลองได้คล้าย ascorbic acid โดยไม่เกิดการระคายเคือง ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ Bikini Care Perfect Lightening Cream by Oriental Princess เป็น Bikini cream ที่มีส่วนผสมของ lightening agents หลายอย่าง เช่น licorice extracts, niacinamide, Medicago sativa extract, alpha arbutin เป็นต้น

กลุ่มยารับประทาน

• Isotretinoin 3 mkd
• Acitretin 0.8 mg/kg
• Etretinate 1 mkd
• Metformin 500 mg po tid พบว่า 3 เดือนเริ่มได้ผลในกลุ่มที่มี insulin resistance ร่วมด้วย มีรายงานผื่นไม่กลับมาเป็นใหม่หลังหยุดยา 2 ปี แต่หลังจากนั้นต้องรอข้อมูลในอนาคต
• Rosiglitazone, Pioglitazone, Sitagliptin ช่วยได้แต่ไม่ดีเท่า Metformin
• Fish oil 10-20 g/day นาน 6 เดือน

กลุ่มเลเซอร์

• Long pulsed alexandrite พบว่าได้ผลดี แต่ระวังการใช้ในคนผิวคล้ำ อาจมีรอยดำหลังการรักษาได้บ่อย
• Fractional 1550-nm erbium fiber laser
• CO2 laser and currette

การรักษาอื่น

• Somatostatin analogue octreotide ได้ผลในเด็กชายอ้วน
• Psoralen + PUVA

อย่าลืมว่าการรักษาหลักต้องแก้ที่ต้นเหตุ การทายาอาจไม่ดีขึ้นถ้าหากไม่ได้รับการแก้ไขที่สาเหตุ

ในแง่ acanthosis nigricans คนที่มีซอกพับ ขาหนีบ รักแร้ดำคล้ำ ร่วมกับมีสิวเรื้อรัง ประจำเดือนผิดปกติ มีขนเยอะ อย่าลืมมองหา ภาวะถุงน้ำรังไข่ (PCOS) ร่วมด้วยค่ะ

หากคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ สามารถกดแชร์ให้เพื่อนอ่านด้วยได้ค่ะ ❤️❤️❤️


References:

J Low Genit Tract Dis. 2019 July ; 23(3): 220–225.
Curr Probl Dermatol. 2011; 40: 9-19.
Phcog Res 2017; 9: 39-45.
J Cosmet Dermatol. 2020 Aug; 19(8): 1857-1865.
Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology 2018: 11; 407–413.
Arch Dermatol. 1976 Oct; 112(10): 1445-7.


Product mentioned:

👙 Bikini Care Perfect Lightening Cream
ครีมทาขาหนีบและแก้มก้น มีส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ยับยั้งในกระบวนการสร้างเม็ดสีผิว ช่วยผิวแลดูกระจ่างขึ้น
ส่วนประกอบหลัก ได้แก่
✔️ Niacinamide
✔️ Alafalfa Extract (Medicago sativa) หรือสารสกัดจากถั่วอัลฟัลฟ่า พืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันตก อุดมไปด้วย GALACTOMANNANS จากธรรมชาติ ลดความหมองคล้ำฟื้นฟูผิว ขึ้นชื่อเรื่อง Super antioxidant เพราะมีคุณสมบัติคล้ายเรตินอล (retinol-like active ingredient) ช่วยกระตุ้นการสร้าง collagen l ได้โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์สลายคอลลาเจน metalloproteinases และ สามารถยับยั้งการเปลี่ยนแปลง L-DOPA เป็น dopaquinone จึงลดการสร้างเม็ดสีในหลอดทดลองได้ คล้าย ascorbic acid โดยไม่เกิดการระคายเคือง
✔️ Licorice Extract หรือ สารสกัดจากรากชะเอมเทศ มีสารออกฤทธ์ิ GLABRIDIN (กลาบริดิน) ที่ช่วยยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ Tyrosinase ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างเมลานิน
✔️ Alpha arbutin
▫️ อ่อนโยนต่อผิวด้วยค่า pH 5.5
▫️ ไม่มีสารที่อาจให้ก่อการระคายเคืองได้บ่อย กล่าวคือ No silicone, no alcohol, no mineral oil, no paraben, SLS/SLES free
▫️ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและกักเก็บน้ำที่ผิว ช่วยรักษาสมดุลผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
▫️ ผ่านการทดสอบโดยสถาบัน Spincontrol Asia Co., Ltd. พบว่า 89% ของผู้ทดสอบชาวเอเชีย 22 คน ที่ใช้เช้าเย็น นาน 15 วัน มีผิวแลดูกระจ่างใสเพิ่มขึ้น จากวิธี Chromametry
▫️ เป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลก บรรจุภัณฑ์สามารถนำไป Recycle ได้
▫️ ไม่ทดลองกับสัตว์ we never test on animals

Disclaimer: Branded content


บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

ลองสำรวจดูว่ามีผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ มี BHA ซ้ำซ้อนกันในเวลาเดียวกันหรือไม่ ⁉️

BHA เช่น Salicylic acid, Lipohydroxy acid
ละลายได้ดีในไขมัน มีคุณสมบัติเด่นคือ

• ซึมผ่านบริเวณรูขุมขนลงไปผิวหนังชั้นที่ลึกกว่าได้ (Deep penetration through the lipid barrier of epidermis) ซึ่งเป็นสิ่งที่ AHA ทำไม่ได้
• ละลายสิวที่อุดตัน (Comedolytic effect)
ผลที่ตามมา คือ ทำให้สิวอุดตันลดลง
• ลดการสร้าง sebum (Minimized sebum production)
ผลที่ตามมา คือ ควบคุมความมันของผิว
• ออกฤทธิ์ลดการอักเสบได้ (Anti inflammatory effect)
ผลที่ตามมา คือ ช่วยลดการอักเสบของสิว ส่งผลให้เกิดรอยดำหลังการเกิดสิวลดลงตามมา

ดังนั้น BHA เหมาะสำหรับคนที่ปัญหาผิว ดังนี้
▫️สิวทุกชนิด ทั้งสิวอักเสบและสิวอุดตัน (Inflammatory and comedonal acne)
▫️หน้ามัน (Oily skin)

ส่วนคนที่ผิวแห้งหรือระคายเคืองง่าย ถ้าอยากใช้ BHA แนะนำว่าให้เลือกแบรนด์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดการระคายเคืองและเพิ่มความความชุ่มชื้นร่วมด้วย หรือเลือก BHA รูปแบบที่ระคายเคืองน้อย โดยจะดูที่ปริมาณ % เท่านั้นไม่ได้ค่ะ เช่น Betaine Salicylate 4% เทียบผลแล้วอาจได้ประมาณ 1-2% Salicylic acid เป็นต้น ไว้จะมาเล่าให้ฟังทีหลัง

โพสนี้ไม่ได้เล่าละเอียดในส่วนผสมของแต่ละผลิตภัณฑ์ เพียงแต่มีหลายครั้งที่ชอบเจอคำถามว่าใช้ตัวหนึ่งทาทับกับอีกตัวได้ไหม อยากให้ลองสำรวจดูว่ามีผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ BHA ซ้ำซ้อนกันในเวลาเดียวกันหรือไม่ ถ้ามีก็ควรจะแยกเวลาใช้ หรือ เลือกตัวใดตัวหนึ่ง ก็จะช่วยลดผลข้างเคียงได้ค่ะ


ดูคลิป AHA & BHA เพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์นี้
https://youtu.be/svfWKAe8niQ


บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Fernblock หรือ Polypodium leucotomos extract ปังจริงไหม ❓

โพสนี้รวมคำถามที่มีหลายคนถามเข้ามาเรื่อย ๆ เกี่ยวกับ Polypodium Leucotomos Extract ลองอ่านกันดูค่ะ

1️⃣ Fernblock คืออะไร ❓

Fernblock® Technology เป็นลิขสิทธิ์นวัตกรรมในการสกัด Polypodium Leucotomos Extract ซึ่งเป็น hydrophillic natural extract ซึ่งพืชชนิดเฟิร์นที่มีจุดกำเนิดในอเมริกากลาง มีคุณสมบัติพิเศษในการพัฒนากลไกการป้องกันแสงแดดด้วยตัวเอง ด้วยวิวัฒนาการจากพืชน้ำขึ้นมาเจริญเติบโตอยู่บนบกได้

Fernblock® Technology คิดค้นโดย Dr. Fitzpatrick และทีมแพทย์ Harvard Medical School ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า Dr. Fitzpatrick นั้นถือเป็นบิดาของวิทยาการแพทย์ผิวหนังสมัยใหม่ (Founder of Modern Dermatology) โดยท่านได้ริเริ่มเขียนตำราเรียนผิวหนังที่ได้รับการยอมรับและเชื่อว่าแพทย์ผิวหนังไทยทุกคนและทั่วโลกจะต้องเรียนตำราเล่มนี้ นอกจากนั้นท่านยังค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับ Photomedicine และได้รับสมญานามว่าเป็นบิดาแห่งการฉายแสงอีกด้วย

Polypodium Leucotomos Extract บางทีอาจเห็นเรียกย่อว่า PLE มีการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ในแง่ของประสิทธิภาพและความปลอดภัย ทั้งในหลอดทดลอง (in vitro) สัตว์ทดลอง (in vivo) และ งานLiวิจัยทางคลินิกในมนุษย์ (Clinical Trial) ที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารการแพทย์กว่า 60 ฉบับเลยทีเดียว

2️⃣ PLE มีข้อมูลการศึกษาอะไรในทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับผิวหนังบ้าง ❓

PLE มีส่วนประกอบหลักคือ phenolic compounds และสารอื่นๆ เช่น biological acid molecules, monosaccharides, flavonoids

Fernblock หรือ Polypodium leucotomos
สารประกอบใน PLE

ซึ่งพบว่า PLE ช่วยเสริมการปกป้องผิวจากการทำลายด้วยรังสียูวี ด้วย กลไกหลายอย่าง คือ

• ต้านอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสียูวี (Antioxidant properties)
• ช่วยป้องกัน DNA damage จากรังสียูวี และช่วย DNA repair ได้ (Protective activity) พบว่า sunburn cells ลดลงหลังถูกแดด
• ลดการอักเสบของผิว ช่วยปกป้อง langerhans cells ที่ทำหน้าที่ปกป้องในระบบอิมมูนผิว (Immune system) ทำให้ผิวทนต่อยูวีมากขึ้น ลดการเกิดผิวไหม้แดด
• ลดการสร้างเม็ดสีผิว รอยแดง รอยดำ หลังถูกแดด (Pigmentation)
• ช่วยชะลอปัญหาผิวแก่จากการถูกแสงแดด (Photoaging)

ดังนั้น เรียกได้ว่าเป็น potent immunomodulator ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของครีมกันแดด ในแง่การปกป้องผิวจากแสงแดดได้ถึงระดับภายในเซลล์ จึงเห็น PLE เข้ามามีบทบาทในผลิตภัณฑ์กลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายโดยรังสียูวี เช่น ครีมกันแดด, ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น

กลไกปกป้องผิวของสารสกัด Polypodium Leucotomos Extract
กลไกปกป้องผิวของสารสกัด Polypodium Leucotomos Extract

3️⃣ UV Absorbance & SPF ของ PLE คือเท่าไหร่ ❓

มีข้อมูลการศึกษาพบว่าความเข้มข้นของ UV spectrum absorbance จะเพิ่มขึ้นตามความเข้มข้น อยู่ในช่วงระหว่าง 250-700 nm และค่า peak ที่ 290 nm

ดังนั้น จะเห็นว่าเป็นช่วงคลื่นที่ broad spectrum จึงสามารถปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสี UVA, UVB, visible light, HEV (Blue light) และ Infrared

4️⃣ ในแง่ PLE กับ Photoaging ล่ะ❓

พบว่า PLE ช่วยชะลอภาวะผิวหนังเสื่อมชราได้จากหลายกลไก ได้แก่
• ช่วยลด oxidative stress จากรังสียูวี
• ช่วยเสริมการปกป้องผิวจากแสงแดด ลด sensitivity to UVR จึงลดความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนัง melanoma ได้ โดยเฉพาะคนที่มีประวัติครอบครัวร่วมด้วย
• จากการตัดชิ้นเนื้อพบว่า solar elastosis, angiogenesis ลดลง
นอกจากนั้น ยังมีงานวิจัยในหลอดทดลองพบว่า ช่วยกระตุ้นการสร้าง Collagn type 1,3,5 และยับยั้ง MMP-1 ซึ่งเป็นตัวทำลายคอลลาเจนได้อีกด้วย ส่วนงานวิจัยในมนุษย์ต้องรอข้อมูลต่อไปในอนาคต

5️⃣ ผลิตภัณฑ์กันแดดของ Heliocare ที่มีส่วนผสมของ PLE มีตัวไหนที่มีสารต้องห้ามตามประกาศกรมอุทยานแห่งชาติหรือไม่ ❓

ผลิตภัณฑ์กันแดด Heliocare ทุกสูตรเป็น natural sunscreen /Ecofriendly sunscreen / Reef safe กล่าวคือ ไม่มีสารอันตรายต่อปะการังและสิ่งแวดล้อมตามมาตรา 20 ประกอบมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ได้แก่
Oxybenzone (Benzophenone-3, BP-3),
Octinoxate (Ethylhexyl methoxycinnamate),
4-Methylbenzylid Camphor (4MBC)
และ
Butylparaben

6️⃣ PLE ช่วยเรื่อง Antipollution (PM2.5) หรือไม่ ❓

มีข้อมูลใน In Vitro model ว่าช่วยปกป้องเซลล์ keratinocyte ได้ ด้วยการกระตุ้นกลไก NRF2 pathway ซึ่งช่วยในการต่อต้านพิษจากมลภาวะ PM2.5

กลไกปกป้องผิวของสารสกัด Polypodium Leucotomos Extract

7️⃣ PLE สามารถช่วยเรื่องฝ้าได้หรือไม่❓

มีข้อมูลพบว่า PLE ชนิดรับประทาน ร่วมกับทาครีมกันแดด ในคนที่เป็นฝ้าที่รุนแรงปานกลางถึงมาก ว่าช่วยให้ดีขึ้นได้ เมื่อเทียบกับยาหลอก

โดยพบว่ากลไลที่ PLE ช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิว คือ

  1. ช่วยลด UV-induced photodamage และยับยั้งการเกิดอนูมูลอิสระจากยูวี จึงลดการอักเสบของผิวและลดการสร้างเม็ดสีผิวที่จะเกิดตามมาได้
    นอกจากนั้นยังมีข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง
  2. การยับยั้งในกระบวนการสร้างเมลานินหลังการถูกกระตุ้นจาก blue light จากอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ โดยกลไกผ่าน Opsin-3 (ซึ่งเป็น sensor รับคลื่นรังสีช่วงความยาวคลื่นสั้นได้โดยเฉพาะ blue light) และช่วยลดการเกิด melanin photo-oxidation ได้

Dose ที่มีข้อมูลว่าช่วยเรื่องฝ้าให้ดีขึ้นได้ ขึ้นกับงานวิจัย
ขนาดต่ำ 120-720 มก. ต่อวัน แบ่งทาน 2-3 ครั้ง ทานต่อเนื่องไม่เกิน 8-12 สัปดาห์
ขนาดสูง 960-1,200 มก. ต่อวัน ทานต่อเนื่องไม่เกิน 2 สัปดาห์

ผลข้างเคียงแบบรับประทาน มีรายงานอาจมีมวนท้องคลื่นไส้อาเจียน มีอาการคันได้ แต่อย่างไรก็ตามมีข้อมูลจาก Pharmacovigilance พบว่าผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นไม่ได้สัมพันธ์จาก PLE

8️⃣ หากรับประทานอาหารเสริมที่มี PLE แล้วจำเป็นต้องทาครีมกันแดดด้วยหรือไม่ ❓

PLE ชนิดรับประทานในปริมาณข้างต้น ออกฤทธิ์เป็น photoimmunoprotection ช่วยปกป้องผิวจากการทำลายด้วยอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสีต่าง ๆ ชนิด board spectrum และ พบว่าช่วยให้ผิวทนแดดได้ดีขึ้นเมื่อทานอย่างต่อเนื่อง สามารถเพิ่มค่า MED ได้ 3 เท่าและเพิ่มค่า MPD ได้ 3-7 เท่า
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถทดแทนการทาครีมกันแดดได้
ดังนั้น แนะนำว่าควรใช้เพิ่มเสริมประสิทธิภาพควบคู่กับการทาครีมกันแดดอย่างถูกวิธี

9️⃣ มีการรักษาโรคผิวหนังอะไรที่ PLE มีข้อมูล❓

• ช่วยลดอาการและการกำเริบของโรคผิวหนังกลุ่ม photodermatoses เช่น Polymorphous Light Eruption, solar urticaria, chronic actinic dermatosis, actinic prurigo, SCLE
• ป้องกันการกลับเป็นซ้ำของ Actinic keratosis หลังการรักษาด้วย PDT
[Oral PLE 480 mg/dayโดยเริ่มทาน 1 wk หลังทำ PDT]
• Vitiligo มี repigmentation มากขึ้นในระหว่างฉายแสงยูวีบี
[Oral PLE 480 mg/day ทานระหว่างที่รักษา หรือ Oral PLE 2 caps ทุกวันตอนเช้า + เพิ่ม 1 cap ทานเสริม 1 ชั่วโมงก่อน PUVA/NBUVB exposure]
• Psoriasis สามารถลดปริมาณ PUVA accumulative doseได้
[Oral PLE 720 mg/day ร่วมกับ PUVA 3 /weekly]
• Atopic dermatitis ลดการใช้ oral histamine (p=0.038), topical corticosteroids (p=0.012) ใน 6 เดือน
[Oral PLE 240 mg/day (12 years) for 6 months]

Oral PLE กับ โรคผิวหนัง

🔟 PLE หรือ Polypodium Leucotomos Extracts มีในผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดของ Heliocare ตัวไหนบ้าง ❓

มีในครีมกันแดดทุกรุ่นของ Heliocare ได้แก่
Heliocare Ultra Gel SPF50+/SPF90
Heliocare body spray SPF50
Heliocare 360 FLUID CREAM SPF50+ PA++++
Heliocare 360 gel 0il free SPF50
Heliocare 360 water Gel
Heliocare 360 Pediatrics Mineral SPF50+
Heliocare 360 Pediatrics Transparent Spray SPF50+PA++++
Heliocare 360° Color Cushion Compact SPF50

Heliocare Fernblock
Fernblock ในผลิตภัณฑ์กันแดด

มีข้อมูลการศึกษาเปรียบเทียบการใช้ครีมทากันแดด SPF50+/90 ที่มี 0.5% Fernblock (Heliocare UG SPF50+/SPF90) เทียบกับ SPF50+/90 ที่ไม่มี Fernblock โดยทำการทดลองใน 10 คน ผิวขาว Phototype II อายุ 18-55 ปี อายุเฉลี่ยประมาณ 32 ปี และวัดผล 5 อย่าง ได้แก่ อาการแดงหลังจากโดนแสงแดด, Sunburn Cell (เซลล์ที่เกิดขึ้นหลังจากโดนแสงแดด), Langerhans Cell (เซลล์ที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันผิวหนัง), MMP-1 (เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยสลายคอลลาเจน), Pigmentation (ความเข้ม/ดำ ของผิว/เม็ดสี)

พบว่า ผิวของคนไข้ที่ทาครีมกันแดด SPF50+/90 ที่มี Fernblock

  • มีอาการแดง erythema หลังถูกแดด น้อยกว่า
  • ปริมาณ Sunburn cell น้อยกว่า จึงช่วย DNA repair ได้ดีกว่า
  • ช่วยปกป้อง Langerhans cell ได้มากกว่า จากการย้อมดูด้วย CD1 marker
  • ปริมาณ MMP-1 ลดลงมากกว่า จึงช่วยปกป้องผิวจากการสลายคอลลาเจนได้ดีขึ้น
  • ลด tyrosinase expression และลดความเข้มของสีผิวได้มากกว่า
    เมื่อเทียบกับคนไข้ที่ทาครีมกันแดด SPF50+/90 ที่ไม่มี Fernblock
    ดังนั้น ข้อมูลงานวิจัยนี้จึงแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ PLE ในแง่ของ Photoimmunoprotection #ในระดับเซลล์ร่วมด้วย

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่กำลังสนใจเรื่อง Polypodium Leucotomos Extract อยู่นะคะ
ถ้าชอบบทความนี้สามารถไลค์หรือแชร์ได้เลยค่ะ


References

J Clin Aesthet Dermatol. 2021;14(2):50–60.
Front Med (Lausanne). 2021 Jun 2;8:684665.
Oxid Med Cell Longev. 2020; 2020: 2908108.
Int J Mol Sci. 2018 Aug; 19(8): 2250.
Dermatol Ther (Heidelb) 2017; 7: 305–318.
Int J Mol Sci. 2016 Jun 29; 17(7): 1026.
J Drugs Dermatol. 2014 Feb;13(2):148-53.
Int J Mol Sci. 2011;12(12):8466-8475.


[ Disclaimer ]
สนับสนุนความรู้โดย Heliocare

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

ผิวแห้งระคายเคืองง่าย..ใช้โทนเนอร์ได้ไหม ล้างหน้าด้วยอะไรดี ⁉️

รวมคำถามคาใจเกี่ยวกับการทำความสะอาดผิวหน้าสำหรับคนผิวแห้งในโพสนี้

1. เป็นคนผิวแห้งและระคายเคืองง่าย สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีน้ำหอมได้ไหม ❓

บางคนอาจแพ้น้ำหอม แต่หากใครไม่มีปัญหาก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอมได้ค่ะ เพียงแต่คนที่ผิวแพ้ง่ายก็ควรต้องระวัง

2. หากแต่งหน้าหรือใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดชนิดที่กันน้ำ จำเป็นต้อง double cleansing หรือไม่ ❓

ไม่มีอะไรถูกหรือผิด หากล้างด้วย Cleanser ครั้งเดียวแล้วรู้สึกสะอาดดีก็อาจไม่จำเป็นค่ะ แต่ในส่วนผสมหรือ surfactant ของบางผลิตภัณฑ์ที่ล้างออกยากก็อาจจะล้าง double cleansing ได้ค่ะ เริ่มด้วยการเช็ดหรือล้างด้วย Cleansing oil หรือ balm อย่างใดอย่างหนึ่ง
✔️ Cleansing oil : ส่วนใหญ่นิยมใช้ Mineral oil, castor oil, jojoba oil, olive oil (Olive oil อาจก่อสิว) หากล้างสะอาดแล้ว อาจจบขั้นตอนนี้
✔️ Cleansing balm : แนะนำให้ล้างตามด้วย Liquid Syndet Cleanser อีกรอบ

3. ถ้าหากไม่ได้ใช้ waterproof product อะไร แต่งหน้าเบา ๆ แต่พอใช้ Cleanser อย่างเดียวก็รู้สึกไม่สะอาด จะทำอย่างไรดี ❓

กรณีนี้อาจไม่จำเป็นต้อง double cleansing ก็ได้ค่ะ แต่หากผิวค่อนข้างสกปรก หรือ แต่งหน้าร่วมด้วย และรู้สึกไม่สะอาดหลังล้างหน้าด้วย cleanser ก็แนะนำอาจเริ่มด้วย
✔️ Micellar water
✔️ Cleansing milk
แล้วตามด้วย Cleanser อีกที

4. น้ำตบ Essence หรือ Toner ต้องมีใน routine ไหม และสามารถใช้ในคนที่ผิวแห้งระคายเคืองง่ายได้หรือไม่ ❓

ความจริงแล้วไม่มีนิยามความแตกต่างของ Essence กับ Toner ที่ชัดเจน โดยทั้งสองชนิดจะมีส่วนประกอบของน้ำค่อนข้างเยอะกว่า Serum
✔️ เนื้อ Essence คือสกินแคร์ที่เป็นของเหลวขุ่นเล็กน้อย ส่วน Toner จะค่อนข้างเหลวใสกว่า
✔️ Essence หรือ Toner อาจมีในรูทีนหรือไม่ก็ได้ค่ะ เลือกได้ตามความสมัครใจ โดยควรเลือกที่ส่วนผสมเป็นหลัก
✔️ หากมีทั้งสองอย่างนี้ ก็ควรลำดับไว้ต้น ๆ หลังจากล้างหน้าเสร็จ เสมือนเป็นการเตรียมผิวก่อนลงสกินแคร์อื่นต่อไป

กรณีผิวแห้งแพ้ง่าย แนะนำเลือกดังนี้ค่ะ
✔️ หลีกเลี่ยงที่มีน้ำหอม, แอลกอฮอล์, ส่วนผสมที่อาจก่อการระคายเคือง เช่น กรดผลไม้, อนุพันธ์วิตามินเอ หรือกลุ่มผลัดเซลล์ผิวอื่น ๆ
✔️ มองหาเป็น Propylene glycol-based
✔️ มองหาส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นที่เลียนแบบโครงสร้างผิวตามธรรมชาติ เช่น hyaluronic acid, ceramide, glycerin หรือ natural moisturizing factors อื่น ๆ
✔️ มองหาส่วนผสมที่ช่วยเคลือบผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการสูญเสียน้ำจากผิว (Occlusive) และ ช่วยปรับสมดุลผิว (Water homeostasis)

5. ผิวแห้งใช้ Cleansing Scrub แต่ล้างเบา ๆ ได้ไหม ❓

คนผิวแห้งไม่แนะนำให้ใช้กลุ่ม scrub เลยค่ะ เพราะจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและอักเสบตามมาได้

6. ผิวแห้งระคายเคืองง่าย ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอย่างเดียวได้ไหม ❓

ไม่เหมาะค่ะ ไม่แนะนำให้ล้างด้วยน้ำเปล่าเพราะมีค่า pH ไม่เหมาะกับผิว แนะนำว่าหากผิวแห้ง แต่ไม่มีปัญหาอะไรที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ดังนี้ค่ะ
✔️pH balance ใกล้เคียงกับผิว ประมาณ 4.5-6.5
✔️มีส่วนผสมของสารที่ให้ความชุ่มชื้นผิว เช่น ceramide, glycerin, amino acid, cholesterol, PCA เป็นต้น
✔️มองหา Syndet Liquid หรือ Non foaming Cleanser ซึ่งมักจะใช้ surfactant กลุ่มที่ไม่ค่อยระคายเคืองผสมกันหลายชนิด ยกตัวอย่าง

กลุ่ม Anionic Surfactant สารลดแรงตึงผิวที่มีประจุลบ

กลุ่มนี้มีความสามารถในการทำความสะอาดดีที่สุด หากเป็นชนิด fatty acid soap or foam มักจะระคายเคือง ดังนั้น ในกลุ่มนี้ควรเลือกชนิดที่เป็น non soap จึงจะมีความอ่อนโยนมากกว่า เช่น sodium lauryl monoethanolamide, disodium laurath sulfosuccinate, sodium cocoyl isethionate, sodium cocoyl alaninate, disodium cocoyl glutamate, sodium cocoyl glutamate เป็นต้น

กลุ่ม Amphoteric Surfactant สารลดแรงตึงผิวที่มีทั้งประจุบวกและประจุลบ

กลุ่มนี้มีความสามารถทำความสะอาดได้ดีและเป็นที่นิยมใช้ เช่น cocamidopropyl betaine, cocoamphoacetate, lauryl hydroxysultaine เป็นต้น

กลุ่ม Non-ionic Surfactant สารลดแรงตึงผิวที่ไม่มีประจุ

กลุ่มนี้นิยมนำไปผสมกับสารลดแรงตึงผิวอื่น ๆ ในสบู่หรือเจลล้างหน้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการชะล้าง เป็น refatting agent ช่วยปกป้องไม่ให้ความชุ่มชื้นผิวถูกชะล้างออกหมด และมีความอ่อนโยน เช่น polysorbate 20, 80, decyl glucoside, lauryl glucoside, polyglyceryl-4 เป็นต้น

กลุ่มนี้อาจทาบนผิวแห้งหรือผิวเปียกก็ได้ หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำ จะเหลือลักษณะคล้ายฟิล์มเคลือบผิวบาง ๆ จะช่วยเรื่องความชุ่มชื้นผิว ดังนั้นไม่ควรเช็ดหรือถูฟิล์มนี้ออก

❌ ไม่แนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เป็นกลุ่ม Soap หรือโฟม เพราะมักผสม negatively charged surfactants ซึ่งก่อการระคายเคืองผิวได้ง่ายตามที่กล่าวไปข้างต้น เช่น SLS (Sodium lauryl sulfate)

7. มีส่วนผสมอะไรที่แนะนำให้มองหาในผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสำหรับคนผิวแห้งมาก ❓

แนะนำพิจารณาเลือกเป็นพิเศษในกลุ่ม Cleanser ที่มี ส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น ceramide, hyaluronic acid, glycerin เป็นต้น
✔️ มีข้อมูลพบว่าการใช้ ceramide-dominant physiological lipid-based cleanser อย่างน้อย 4 สัปดาห์ ทำให้ skin barrier ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยวัดจาก
💧 TEWL ลดลง
💧 Skin hydration เพิ่มขึ้น
💧 อาการคัน ผิวแห้งลดลง
💧 Skin smoothness & softness ดี ผิวนุ่มเรียบขึ้น
✔️Glycerin เป็นสารกลุ่ม hydroscopic และเป็น humectant ธรรมชาติในผิวเรา และได้รับความนิยมในการนำมาผสมในสกินแคร์เพราะมีประสิทธิภาพในการดูดน้ำจากบรรยากาศรอบตัวและกักเก็บความชุ่มชื้นในผิวได้ดี คล้ายกับคุณสมบัติของ Hyaluronic acid ซึ่งสารทั้งสองอย่างนี้จะค่อย ๆ ลดลงไปตามกาลเวลาอายุที่มากขึ้น มีข้อมูลว่าการใช้สกินแคร์ที่มี Glycerin เป็นส่วนผสม ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและยังเสริมความแข็งแรงของกำแพงผิว ผิวนุ่ม ยืดหยุ่นดี

8. BioMimic Technology™ คือ อะไร ❓

เป็นเทคโนโลยีที่เลียนแบบโครงสร้างชั้นไขมันของผิวตามธรรมชาติ ประกอบด้วย Essential lipids ไขมันที่คล้ายคลึงกับที่พบได้ในผิว ได้แก่ Hydroginated lecithin, Caprylic/Capric Triglyceride, Squalane, Ceramide-3, Glycerin ซึ่งสูตรที่เลียนแบบไขมันในผิวตามธรรมชาตินั้นจะช่วยเสริมกำแพงผิวให้แข็งแรง เติมส่วนที่ขาดหายไป เพิ่มความชุ่มชื้น ลด TEWL ได้อย่างอ่อนโยน
✔️ เทคโนโลยีนี้เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ Physiogel ถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ไลน์ DMT (Daily Moisture Therapy) ซึ่งเหมาะสำหรับกลุ่มคนผิวแห้งหรือแพ้ง่าย ปัจจุบันมีการพัฒนาเนื้อสัมผัสที่บางเบา ทาสบายผิว ไปพร้อมกับการเพิ่มความชุ่มชื้นโดยไม่เหนียวเหนอะ ยกตัวอย่าง เช่น
💧DMT Cleansing Gel
💧DMT Essence in Toner เป็นต้น

สุดท้ายนี้มีเทคนิคสำรวจผิวมาแถมให้ ลองดูว่าผิวใครเป็น ผิวแห้งหรือผิวขาดน้ำหรือไม่


⭐️ ผิวแห้ง (Dry skin) ลักษณะหน้าลอก เป็นขุยง่าย คัน เมื่อสังเกตหลังล้างหน้าสักพักแล้วผิวจะแห้งตึง ไม่มีความมัน
⭐️ ผิวขาดน้ำ (Dehydrated skin) ชนิดนี้พบได้ทั้งในทุกสภาพผิว คนผิวมันหรือแห้ง ก็ขาดน้ำได้ค่ะ เมื่อสังเกตหลังล้างหน้าแล้วอาจรู้สึกว่าผิวแห้ง แต่พอทิ้งไว้อีกระยะจะเกิดความมันตามมา บางคนมีสิว หน้ามัน ได้บ่อย ๆ
จะเห็นว่าปัญหาผิวทั้งสองชนิดนี้ สามารถแก้ปัญหาด้วยผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมน้ำในผิว (Humectant) ได้ทั้งคู่ และในคนที่ผิวแห้งมาก (Very dry skin) อาจต้องเพิ่มเติมส่วนผสมที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นผิว (Occlusive) ร่วมด้วยค่ะ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่ผิวแห้ง (Dry skin) หรือผิวขาดน้ำ (Dehydrated skin) และกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ล้างหน้าคู่ใจนะคะ ผิวแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องลองเลือกที่เหมาะกับตัวเอง


References

Dermatologic Therapy. 2021; 34(4): e14970.
J Cosmet Dermatol. 2018 Feb; 17(1): 8-14.
J Cosmet Dermatol. 2016 Dec; 15(4): 549-558.
Dermatol Res Pract. 2012; 2012: 495917. Dermatol Ther. 2004; 17 Suppl 1: 16-25.

Product mentioned

💎 Physiogel DMT CLEANSING GEL (150 ml. 450 baht)
คลีนซิ่งเจลมีฟองตัวใหม่ มี BioMimic Technology™ และ Hydrating Ingredient 2 ชนิด
✔️ Ceramide ลดการสูญเสียน้ำของผิว
✔️ Glycerin เพิ่มความชุ่มชื้นผิว ผิวนุ่ม
ฟองละเอียดนุ่ม ไม่แห้งตึง ไม่เอี๊ยดหลังล้างหน้า
มี BioMimic Technology เทคโนโลยีที่มีเฉพาะในผลิตภัณฑ์ของ Physiogel ช่วยเสริมเป็นเกราะปกป้องผิว และคืนสมดุลให้ผิว

💎 Physiogel DMT ESSENCE IN TONER ( 200 ml. 700 baht)
เป็น BioMimic Technology™ และมี Hydrating Ingredient หลายชนิดครบทั้ง humectant, emollient, occlusive:”[
✔️ Hyaluronic acid เป็น humectant ช่วยเติมความชุ่มชื้นผิว
✔️ Glycerin ช่วยเสริมกำแพงผิว เพิ่มความนุ่มชุ่มชื้น
✔️ Arginine ช่วยกระบวนการสมานแผลและฟื้นฟูเซลล์ผิว
เนื้อบางเบา ซึมไว ไม่เหนอะ
ใช้เป็นขั้นตอนแรกในการเตรียมผิว ใช้ทันทีหลังล้างหน้า หรือสามารถใช้กับสำลีแบบโทนเนอร์หรือใช้แบบน้ำตบก็ได้

ทั้งสองตัวเป็นสูตร non-comedogenic ไม่มีน้ำหอม
ใช้ได้ทุกสภาพผิว ทั้งผิวแห้งแพ้ง่าย
สามารถใช้ได้ หาซื้อได้ที่ Watsons, Boots, Shopee, Lazada, Eveandboy, ร้านขายยาชั้นนําทั่วประเทศ

Disclaimer: Branded content [Physiogel]

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

ครีมยูเรีย ที่เหมาะกับคนผิวแห้งมาก ช่วยแก้ปัญหาผิวแห้งได้อย่างไร ‼️

Urea-containing topical formulation

มีหลายคำถามที่มักมีการถามถึงเสมอ ว่ายูเรียที่ผสมในสกินแคร์ สามารถช่วยอะไรได้บ้าง และคนผิวแห้งทาไปนาน ๆ แล้วจะมีผลอะไรต่อผิวหรือไม่ เราลองมาทำความรู้จักกันค่ะ

1. ยูเรีย คืออะไร เกี่ยวกับผิวเราอย่างไร ทำไมเห็นใช้เป็นส่วนผสมในสกินแคร์ทาผิว ❓

ยูเรียเป็นส่วนประกอบหนึ่งในผิวหนัง
พบได้ประมาณ 7% ของ NMF (Natural Moisturizing Factor) ซึ่งอยู่ที่ผิวหนังชั้นหนังกำพร้าของเราค่ะ ส่วนนี้จะทำหน้าที่ปกป้องผิว กักเก็บความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้แก่ผิว และเมื่อเราอายุมากขึ้น ปริมาณของ urea ใน NMF จะลดลงไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา

ยูเรียทาผิว urea cream

2. หาก NMF ไม่สมบูรณ์ และปริมาณ urea ที่ผิวลดลง จะเกิดอะไรขึ้นกับผิวหนังบ้าง ❓

ผลที่จะเกิดตามมา คือ ผิวจะสูญเสียน้ำได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น สูญเสียความยืดหยุ่น จึงส่งผลทำให้ผิวแห้งกร้าน ลอก เป็นขุยในที่สุด เราจึงเห็นว่าคนสูงอายุส่วนหนึ่งที่ผิวแห้งนั้น อาจมาจากปัจจัยเรื่องนี้ร่วมด้วยได้ และเมื่อทาครีมที่ผสมยูเรียจึงมักช่วยให้อาการแห้งลอกคันผิวลดลงได้ดี

3. ผลิตภัณฑ์ยูเรียชนิดทาที่มีความเข้มข้นต่างกัน มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ❓

ยูเรียความเข้มข้นต่างกันจะออกฤทธิ์ไม่เหมือนกันค่ะ

✔️ ความเข้มข้นต่ำถึงปานกลาง <10 % จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิว (Moisturizing effect) จึงมักใช้แก้ปัญหาผิวแห้ง หรือ โรคผิวหนังในกลุ่มโรคเช่น Xerosis, Ictyosis, Atopic dermatitis, Psoriasis
✔️ ความเข้มข้นสูงเกิน 10% ขึ้นไป ความเข้มข้นเบอร์นี้จัดว่าเป็นยา จะออกฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวร่วมด้วย (Keratolytic effect) จึงมักใช้ในรอยโรคผิวหนังที่หนา เช่น ขนคุด (Keratosis pilaris), Psoriasis ที่ผื่นหนา หรือใช้แก้ปัญหาที่เล็บ, รักษาหูด, ตาปลา,ใช้ทาส้นเท้าหนาแตกด้าน เป็นต้น

ดังนั้น ควรเลือกให้ถูกวัตถุประสงค์ เช่น หากนำ 40% มาใช้กรณีผิวแห้ง ก็อาจทำให้รอยโรคแย่ลงได้จากการผลัดลอกเซลล์ผิวมากขึ้นกว่าเดิม

ประโยชน์ของยูเรียครีม

4. หากใช้ครีมยูเรียควรใช้ทาเดี่ยว ๆ หรือทาร่วมกับยาเพื่อรักษาโรคทางผิวหนังได้หรือไม่ ❓

สามารถทายูเรียเดี่ยว ๆ หรือ ทาร่วมกับยาทารักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ค่ะ และมีข้อมูลว่ายังสามารถเพิ่มการดูดซึมของยาตัวอื่นได้ เช่น

✔️ 10% urea ร่วมกับ hydrocortisone หรือ betamethasone-17-valerate ในการรักษาโรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis)
✔️ 10% urea ร่วมกับ 1% hydrocortisone, 2% salicylic acid ในการรักษาโรคผิวแห้ง Ictyosis vulgaris
✔️ 10-40% urea ร่วมกับ dithranol หรือ bifonazole ในการรักษาโรคสะเก็ดเงิน
✔️ 40% urea ร่วมกับ 1% fluconazole ในการรักษาเชื้อราที่เล็บ

5. ครีม urea มีแบบไหนบ้าง เลือกอย่างไรดี ❓

ปัจจุบันครีมที่ผสมยูเรียมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ครีม, โลชั่น, โฟม, อิมัลชั่น, แลคเกอร์ โดยใช้ความเข้มข้นประมาณ 3-50% ซึ่งเป็นความเข้มข้นที่มีรายงานผลข้างเคียงจากการใช้น้อยมาก เรียกได้ว่า สามารถใช้ได้ค่อนข้างปลอดภัย

แต่ละรูปแบบควารเลือกใช้ให้เหมาะสม ดังนี้

ชนิดโลชั่นทาผิว

มักผสม urea 3-12% ซึ่งไม่สูงมาก และเนื่องจากเป็น hydrophilic components มักจะมีน้ำหนักโมเลกุลเล็ก สามารถซึมผ่าน Stratum corneum ได้ดี ออกฤทธิ์เป็น humectant ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น, ลด TEWL อีกทั้งยังช่วยกักเก็บความชื้นในผิวได้ยาวนาน จึงมักใช้โลชั่นเพื่อแก้ปัญหาผิวแห้งคัน (xerosis) ได้ดี และยังมีข้อมูลพบว่าลดอาการขุย ผิวแตกเป็นร่อง แดงคัน ช่วยลดการกำเริบของการแห้งคันได้ แนะนำในกลุ่มคนผิวแห้ง xerosis, ผิวผู้สูงอายุ, ผิวแห้งคันในคนเป็นโรคตับ,ไต เป็นต้น

ชนิด cream

ควรเลือกความเข้มข้นให้เหมาะกับปัญหาตามที่กล่าวข้างต้น คร่าวๆ คือ
5-12% cream สำหรับผิวกายแห้งมาก แห้งลอกขุย, ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
20-25% cream สำหรับส้นเท้าแห้งแตก, เล็บเป็นขุยหนา
20-40% cream สำหรับเสริมการรักษาเชื้อราที่เล็บ
50% cream สำหรับ psoriatic plaque

ชนิด foam

เป็นทางเลือกสำหรับ hairy area แต่พบไม่ค่อย และกลุ่มนี้มักผสม alcohol vehicle อาจระคายเคืองหรือคันได้

ชนิด ointment

จะมีฤทธิ์ occlusive เพิ่มเติมเข้ามา จึงออกฤทธิ์ได้ดีกว่าชนิด cream สามารถใช้ 40% เป็น chemical nail avulsion ในการรักษา onychomycosis ได้ และแนะนำรูปแบบนี้อย่างยิ่งกรณีส้นเท้าแตกด้าน แต่ข้อเสียคือ เหนียว และใช้ค่อนข้างลำบากในบริเวณผิวที่มีเส้นผมหรือขน

ชนิด gel

พบไม่บ่อย

ชนิด lacquer

รูปแบบยาป้ายทา มักใช้กับรอยโรคที่เล็บ เสริมการรักษา onychomycosis, brittle nails

6. หากมีปัญหาผิวแห้งมาก ลอกขุย แตก คัน ผิวไม่เรียบ เป็นเกล็ดปลา ต้องดูแลผิวอย่างไร ทาครีมยูเรียอย่างเดียวเพียงพอหรือไม่❓

เนื่องจากปัญหาผิวแห้งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น

💢 กำแพงผิวเสียจากอายุที่มากขึ้น
💢 โรคผิวหนังบางอย่าง เช่น ผิวหนังอักเสบ, ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง, โรคสะเก็ดเงิน, โรค Ictyosis
💢 โรคทางร่างกายอื่น เช่น โรคตับ โรคไต โรคไทรอยด์ มะเร็งบางชนิด ขาดวิตามินหรือสารอาหารบางอย่าง เป็นต้น
💢 การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน เช่น วัยหมดประจำเดือน
💢 สภาพอากาศ มลภาวะ
💢 การใช้สกินแคร์ที่ไม่เหมาะสม

แนะนำวิธีการดูแลผิวแห้ง ดังนี้ค่ะ

ทาครีมบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นผิวเป็นประจำสม่ำเสมอ แนะนำให้ทาหลังอาบน้ำทันทีจะสามารถซึมสู่ผิวและออกฤทธิ์ได้ดี ซึ่งสกินแคร์ที่มียูเรียก็สามารถใช้ได้ และหากผิวแห้งมากก็อาจหาส่วนผสมที่เพิ่มความชุ่มชื้นหลายชนิดร่วมด้วย เช่น Eucerin Urea Repair Plus ซึ่งนอกจาก 5% urea ก็ยังมี Ceramides & Gluco-Glycerol & NMFs ที่ช่วยเพิ่มการส่งผ่านโมเลกุลน้ำไปยังผิวชั้น epidermis และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิวได้ดี
ไม่อาบน้ำนานเกินไป เลี่ยงการอาบน้ำร้อน และ เลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่เป็นด่างสูง หลังอาบแล้วผิวตึงเอี๊ยด
• ในกรณีฤดูหนาว อากาศแห้ง อาจใช้ Humidifier เพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ให้บรรยากาศรอบตัวในบ้านหรือห้องนอน
• สำรวจตัวเองว่ามีความผิดปกติทางร่างกายใด ๆ หรือไม่

และหากปรับสกินแคร์และพฤติกรรมการดูแลผิวข้างต้นแล้วไม่ดีขึ้น หรือมีความผิดปกติอะไรในร่างกาย แนะนำปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อช่วยตรวจหาว่าคุณมีสาเหตุอื่นที่อะไรซุกซ่อนอยู่ ที่อาจทำให้ผิวแห้งคัน เรื้อรัง ไม่หายสักที ซึ่งเหล่านี้อาจต้องการการรักษาอื่นโดยแพทย์เพิ่มเติมค่ะ

ผิวแห้งลอก แก้อย่างไร

References:

Dry skin management: practical approach in light of latest research on skin structure and function. J Dermatolog Treat. 2020 Nov;31(7):716-722.
Topical urea in skincare: A review Dermatology Therapy 2018;e12690.
Urea-containing topical formulations. Int J Clin Pract. 2020 Dec;74 Suppl 187:e13660.


Product mentioned:

Eucerin UreaRepair Plus

โลชั่นบำรุงผิวกาย เหมาะสำหรับผิวแห้งถึงแห้งมาก แตกเป็นขุย

• ประกอบด้วย
5% urea lotion + NMF สารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติในผิว
มี Ceramides ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการสูญเสียน้ำจากผิว
มี Glyco-glycerol ที่ช่วยเพิ่มการส่งผ่านโมเลกุลน้ำไปยังผิวชั้น epidermis ได้ดี เติมน้ำสู่ผิว ผิวชุ่มชื้นยาวนาน 48 ชั่วโมง
• เนื้อโลชั่น oil-in-water ซึมเร็ว ไม่เหนียวเหนอะ
• ช่วยให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น เนียนเรียบขึ้น แลดูสุขภาพดี เมื่อใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง (ผลลัพธ์ขึ้นกับสภาพผิวแต่ละบุคคล)

Eucerin urearepair plus

Disclaimer: Content sponsored by Eucerin

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Ectoin หรือ Extremolytes คืออะไร

Ectoin คือ สารที่ผลิตได้จากแบคทีเรียชื่อ Halomonas elongata ถือเป็น naturally Osmolytes อย่างหนึ่งที่มีการศึกษามากมายทั้งในแง่ของการผสมในครีมบำรุงผิวหรือครีมกันแดด, ยาพ่นในระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งยาหยอดตา

ทั้งนี้ เนื่องจาก Ectoin มีคุณสมบัติในการช่วยลดการอักเสบได้ ทั้งที่ผิวหนัง เยื่อบุทางเดินหายใจ และตา

มีการศึกษาพบว่าผิวหลังทาสกินแคร์ที่มี Ectoin เมื่อทดสอบด้วย UVB แล้ว มีอิมมูนเซลล์ที่ผิว (Langerhan cells) ลดลงเพียงเล็กน้อย และยังพบ Sunburn cells ลดลงอย่างชัดเจน

ดังนั้น Ectoin จึงมีคุณสมบัติ ช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายด้วย UVB

มีการศึกษาพบว่าผิวหลังทาสกินแคร์ที่มี Ectoin เมื่อทดสอบด้วย UVA แล้ว เซราไมค์ที่ผิวจะถูกสลายน้อยลงไปเรื่อย ๆ (dose-dependent) และยังพบ ICAM-1 น้อยลง บ่งบอกว่าการอักเสบของผิวน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้น Ectoin จึงมีคุณสมบัติ ช่วยยับยั้งกระบวนการอักเสบของผิวที่เกิดจาก UVA ได้อีกด้วย

มีการศึกษาวิจัยในคน Sensitive & Atopic skin โดยให้ทา 1% และ 4% Ectoin เช้าเย็น นาน 7 วัน พบว่า TEWL ลดน้อยลง (แบบ dose-dependent)

ดังนั้น คนผิวแห้งหรือแพ้ง่ายที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงของกำแพงผิว แนะนำ ectoin ที่มีความเข้มข้นอย่างน้อย 0.5-1% ขึ้นไป โดยทาเช้าเย็น จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงประมาณ 1 สัปดาห์

มีการศึกษาพบว่าเมื่อทา 1% Ectoin เช้าเย็น นาน 12 วันขึ้นไป ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการตรวจวัดด้วยเครื่องมือ corneometry และหลังหยุดทาแล้วยังสามารถคงความชุ่มชื้นผิวอยู่ได้อย่างน้อย 7 วัน

ดังนั้น Ectoin จึงมีคุณสมบัติเป็น prolonged moisturizer ช่วยให้ความชุ่มชื้นผิวได้ยาวนาน ในงานวิจัยระบุอย่างน้อย 7 วัน แต่อย่างไรก็ตามคงต้องขึ้นกับสภาพผิวแต่ละบุคคล และ ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ที่มี Ectoin ในแต่ละยี่ห้อ

Ectoin มีคุณสมบัติ anti-inflammatory effect จึงมีการนำมาใช้เพื่อช่วยบรรเทาอาการผิวหนังอักเสบจากสาเหตุหลายอย่าง

ดังนั้น จึงเป็นอีกทางเลือกในคนที่มีผิวหนังอักเสบ (Eczema) หรือในกลุ่มโรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Mild to moderate Atopic dermatitis) ที่อยากเลี่ยงการทาสเตอรอยด์บ่อย ๆ ในระยะยาว

พบว่า การทาสกินแคร์ที่มี Ectoin สามารถช่วยลดการเกิด Air pollution-induced hyperpigmentation ได้ และลด gene expression ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเสื่อมของผิวได้

ดังนั้น Ectoin-containing Skincare จึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากช่วย anti pollution และ anti aging ได้ดี

ถึงแม้มีข้อมูลว่า Ectoin ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA, UVB ช่วยป้องกันผิวไหม้และลด aging skin ได้ แต่ปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาในแง่ SPF, PA ที่ชัดเจน

ดังนั้น แนะนำให้ทาครีมกันแดดร่วมด้วยเสมอค่ะ

บางคนเรียก Ectoin ว่าเป็น All-in-One และเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการบำรุงผิว เพราะมีความสามารถ คือ

✔️ ปกป้องผิวจากการทำร้ายโดย UVA ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งผิวชรา ริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ

✔️ ปกป้องผิวจากการทำร้ายโดย UVB ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งผิวไหม้และหมองคล้ำ

✔️ ลดการระคายเคืองผิวจาก PM2.5 ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความแก่, ผิวอักเสบ, การกำเริบของผื่นผิวหนังบางชนิด

✔️ ช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนัง

✔️ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิวได้ยาวนานหลายวัน

โดยสรุป คุณสมบัติของEctoin ก็คือ

“Antiaging + Antiinflammatory + Moisturizing + Barrier repairing effects”

ถ้าหากใครที่กำลังมองหาสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ Extremolytes (Ectoin) ขอแนะนำ ดังนี้ค่ะ

• 0.5% ขึ้นไป ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงกำแพงผิวได้ดี

• 1% ขึ้นไป มีคุณสมบัติเหมือน 0.5% และเพิ่มเติมคือ สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนานยิ่งขึ้นเป็นสัปดาห์

• 5-7% ขึ้นไป นอกจากช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น กักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนานและบำรุงกำแพงผิวได้ดีแล้ว ยังมีคุณสมบัติ anti-inflammatory effect (dose-dependent) แนะนำสำหรับคนที่มีปัญหาภูมิแพ้ผิวหนัง Atopic dermatitis, มีผื่นแพ้อักเสบผิวหนังต่าง ๆ หรือ คนที่ต้องการบำรุงผิวมากขึ้นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มลภาวะฝุ่น PM2.5

ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่มีในประเทศไทยที่มีงานวิจัยทางการแพทย์รับรองในการช่วยลดการอักเสบของผื่นภูมิแพ้ผิวหนังได้ดี ก็เช่น Resiskin ซึ่งมีส่วนผสมของ Ectoin 7% เป็นต้น

References

Int J Woman’s Dermatology. 2021; 7: 91-97.

J Eur Acad Dermatol Venereol. 2019 Aug; 33(8): 1496-1505.

Dermatologic Therapy. 2019; e13171.

Archives of Toxicology. 2018; 92: 2077–2091.

Curr Pediatr Rev. 2019; 15(3): 191-195.

Skin Pharmacol Physiol 2014; 27: 57–65.

Appl Microbiol Biotechnol 2006; 72: 623–634.

Clin Dermatol 2008; 26: 326–333.

Product mentioned

Resiskin by Qualisk

✔️ Germany Innovative Ingredient (Extremolyte) นวัตกรรมสูตรผสมนำเข้าจากเยอรมันที่มีส่วนผสมสกัดจากธรรมชาติ ไม่มีสารกันเสีย

✔️ เป็น Skin barrier repair ช่วยเสริมความแข็งแรงของกำแพงผิว ช่วยปกป้อง บำรุงและฟื้นฟูผิวในหลอดเดียว และยังช่วยลดอาการอักเสบของผิวได้ โดยมีส่วนประกอบหลัก คือ Ectoin ในปริมาณสูงถึง 7%

✔️ มีงานวิจัยรับรองประสิทธิภาพในผิวหนังมนุษย์

✔️ No Steroid, No fragrance, Safe for infant, children, adult

✔️ แนะนำในคนผิวธรรมดา, ผิวแห้ง, ผิวแพ้ง่าย, ผู้มีปัญหาผิวหนังอักเสบหรือภูมิแพ้ผิวหนัง

🌟 Where to buy: สามารถหาซื้อได้ที่ โรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำ หรือ สั่งซื้อออนไลน์ที่ช่องทางเพจ @ResiSKIN by Qualisk, เวบไซต์ http://www.resiskin.com, Line: @resiskin

🌟 พิเศษ ‼️ สำหรับแฟนเพจ HELLO SKIN by หมอผิวหนังที่เห็นโพสนี้

สามารถซื้อในราคาที่มีส่วนลดได้ที่ Inbox เพจ ResiSKIN by Qualisk โดยนำ PROMOTION CODE นี้ไปแจ้งได้เลย

– Code [HS1050]: หลอด 30 ml จาก 1,250 บาท เหลือราคา 1,050 บาท

– Code [HS1500]: หลอด 30 ml + Body Serum 140 ml จาก 2,200 บาท เหลือราคา 1,500 บาท แถมฟรี Travel Size (5 ml) 1 หลอด

– Code [HS2100]: หลอด 30 ml 2 หลอด จาก 2,500 บาท เหลือราคา 2,100 บาท แถมฟรี Travel Size (5 ml) 1 หลอด

Disclaimer: Content sponsored by Qualisk

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.