Category Archives: Vitamin and Supplement

How to กินช๊อคโกแลตเพื่อผิวสวย & หน้าเด็ก

รู้ไหมว่า .. หมอชอบทานดาร์คช๊อคโกแลตมาก ๆ และวันนี้หมอมีวิธีการเลือกซื้อช๊อคโกแลตมาแบ่งปัน เพราะการทานช๊อคโกแลตอย่างถูกวิธี จะทำให้เราได้รับ “ฟลาโวนอยด์” และ “โพลีฟีนอลหลายชนิด” ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้อย่างเต็มที่ ผลก็คือ..

1. ผิวสวย ชะลอการเกิดริ้วรอย หุ่นดีขึ้น ผมสวย
รู้ไหมว่า ดาร์คช๊อคโกแลตยังถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มแอนตี้ออกซิแด้นที่สูงกว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ถึง 8 เท่านะ..จะบอกให้‼️
2. อารมณ์ดี คลายเครียด
พบว่าหลังทานในปริมาณปกติไปประมาณ 2 สัปดาห์ ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ลดการซึมเศร้า เพราะในช๊อคโกแลตมีสาร MAO inhibitors ออกฤทธิ์คล้ายยาต้านเศร้านั่นเอง
3. ความจำดีขึ้น
เพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำของสมองได้ 2-3 ชั่วโมง
4. ช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
ลดความดันโลหิต (SBP 2.8-4.7 mmHg, DBP 1.9-2.8 mmHg)
5. ช่วยลดคลอเรสเตอรอลได้
หลังกินดาร์คช๊อคโกแลตที่มีโกโก้ 70% ปริมาณ 100 กรัม/วัน นาน 1 สัปดาห์ พบว่า ลด LDL 6% เพิ่ม HDL 8%
6. บำรุงสายตา

แต่ระวัง..!! ถ้าหากเลือกผิด สิ่งที่ได้จะเป็นน้ำตาลและไขมัน ซึ่งส่งผลเสียมากกว่า

ถ้าเรียงลำดับปริมาณฟลาโวนอยด์จากมากไปน้อย จะได้เป็น

1. Cacao คาเคา —> ไม่ค่อยหวาน แต่มีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะที่สุด !!!

2. Cocoa โกโก้ —> หวานนิดหน่อย มีสารต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่าคาเคา โดยที่มากน้อยเท่าไหร่ขึ้นกับว่า..มีปริมาณโกโก้ผสมอยู่เท่าใด

🍫 Dark chocolate มีผงโกโก้ผสมอยู่มากกว่า 70% จึงเป็นช๊อคโกแลตที่มีมีสารฟลาโวนอยด์มากสุด

🍫 Milk chocolate มีผงโกโก้น้อยกว่า 70% จึงมีสารฟลาโวนอยด์น้อยลง และมีการเพิ่มนมและน้ำตาล

🍫 White chocolate ไม่มีผงโกโก้ ไม่มีฟลาโวนอยด์ มีเนยโกโก้ (ไขมัน) นม น้ำตาล เพิ่มเข้ามา

ช๊อคโกแลตข้างต้น หากมีการผ่านกระบวนการต่าง ๆ เช่น อบ หมัก ทำให้เป็นด่างมากขึ้น จะทำให้ขมน้อยลง รสนุ่มขึ้น ทานง่ายขึ้น —> แต่..ฟลาโวนอยด์..จะลดลงไป 60-90% เลยนะจ๊ะ‼️ พวกนี้จะระบุไว้ว่า
🍫 Dutched
🍫 Process with Alkali
เล่าแบบนี้อาจจะนึกยังไม่ออก เหล่านี้ก็คือพวกเครื่องดื่มโกโก้ปรุงสำเร็จพร้อมดื่ม เช่น โอวัลติน ไมโล เป็นต้น

European Food Safety Authority แนะนำปริมาณฟลาโวนอยด์ที่รับประทานในโกโก้หรือช๊อคโกแลต คือ 200 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับผลโกโก้ประมาณ 2.5 กรัม หรือ ดาร์คช๊อคโกแลต 2 ชิ้นเล็ก

สรุปว่า ถ้าอยากกินช๊อคโกแลตให้ดีต่อสุขภาพก็ควรเลือกแบบนี้ค่ะ

• ชนิดผง —> ผงคาเคา หรือ ผงโกโก้แบบปรุงแต่งน้อยที่สุด เลี่ยงพวกผสมพร้อมชงดื่มเพราะมักผสมน้ำตาล แล้วเราค่อยมาปรุงรสเองนิดหน่อยก็พอ
• ช๊อคโกแลตแท่ง —> ดาร์คช๊อคโกแลตแบบที่มี %โกโก้สูง ๆ น้ำตาลน้อย ๆ และกินวันละ 2-3 ชิ้นเล็ก ๆ พอ
• กินตอนเช้า ช่วยให้สดชื่นอารมณ์ดี กระปรี้กระเปร่าเพิ่มขึ้นได้ 2-3 ชั่วโมง
• ช๊อคโกแลตที่ผสมถั่วและผลไม้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มเติมส่วนของรสชาติ อันนี้แล้วแต่คนชอบ

ข้อควรระวัง

❌ ช๊อคโกแลต อาจทำให้กระตุ้นไมเกรนได้ในบางคน
❌ ไม่แนะนำในคนเป็นโรคไต เพราะช๊อคโกแลตมีกรดออกซาลิคสูง เพิ่มความเสี่ยงเกิดนิ่วได้

ส่วนตัวจะกินตัวที่หาซื้อได้ไม่ยากเกินไป และดูแล้วมีประโยชน์ต่อสุขภาพ อารมณ์ดี ผิวพรรณอ่อนเยาว์ ตัวนี้เลย Lindt เป็น Excellent Cacao 100% ไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย

ใครอยากลองกินตามก็ได้ไม่ว่ากันค่ะ กินแล้วจะหน้าเด็กไหมต้องไปลองเองนะจ๊ะ แต่ข้อมูลสนับสนุนเบอร์นี้ ส่วนตัวคิดว่าไม่กินไม่ได้แล้ว

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
No sponsored content

Product mentioned
Lindt Thailand

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

ประโยชน์ของ Astaxathin

กินแอสตาแซนธินดีไหมนะ ⁉️

💭 คุณหมอคะ หนูได้ยินคนพูดถึง Astaxanthin หนูควรทานเยอะๆมั้ยคะ หนูมีข้อห้ามที่ทานไม่ได้มั้ย และทานเยอะๆมีผลข้างเคียงอะไรมั้ยคะ

🥕🥕🥕🥕🥕🥕🥕🥕🥕🥕

👩🏻‍⚕️ : มาทำความรู้จักกันว่า Astaxanthin คืออะไร?

เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง ช่วยยับยั้งการเกิดปฎิกิริยาที่ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในไมโทคอนเดรียของตับได้
✅ มากกว่าวิตามินอีถึง 1,000 เท่า
นอกจากนี้ยังช่วยยับยั้งการเกิดออกซิเดชั่นของอนุมูลอิสระได้มากกว่าสารอื่นๆ ดังนี้
✅ มากกว่าเมล็ดองุ่นสกัด 17 เท่า
✅ มากกว่าเบต้า แคโรทีน 40 เท่า
✅ มากกว่าแอลฟา ไลโปอิก เอซิด 75 เท่า
✅ มากกว่าวิตามินอี แอลฟาโทโคฟีรอล 550 เท่า
✅ มากกว่าสารในชาเขียว 550 เท่า
✅ มากกว่าโคเอนไซม์คิวเท็น 800 เท่า
✅ มากกว่าวิตามินซี 6000 เท่า

👩🏻‍⚕️ : ประโยชน์ของสารแอสตาแซนธิน

นอกจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีเยี่ยม ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่างๆดังนี้
🔸 ช่วยบำรุงสายตา ลดอาการเมื่อยล้าของสายตาจากการใช้สายตานานๆ ป้องกันดวงตาจากรังสียูวี
🔸 ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อร่างกาย
🔸 ช่วยให้ผิวคงความอ่อนวัย ลดริ้วรอย ความหย่อนคล้อยและจุดด่างดำ
🔸 ช่วยดูแลสุขภาพกระเพาะอาหาร
🔸 ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ เส้นเลือดในสมองแตก

👩🏻‍⚕️ :ผู้ที่ควรรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระแอสตาแซนธิน (Astaxanthin)

✔️ ผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพทุกเพศทุกวัย
✔️ ผู้ที่ใส่ใจในความงามและสุขภาพผิว
✔️ ผู้ที่ต้องเผชิญกับมลภาวะต่างๆเป็นประจำเช่นความเครียด ฝุ่นควันจากท่อไอเสียรถยนต์ เป็นต้น
✔️ ผู้ที่ต้องทำงานใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
✔️ นักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ

👩🏻‍⚕️: อาหารประเภทไหนมี Astaxanthin เยอะบ้าง ?

แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารในกลุ่มแซนโทรฟิลล์ ตระกูลแคโรทีนอยด์ มีลักษณะเป็นสารสีแดงที่พบมากในอาหารเหล่านี้ค่ะ
🔸 ปลาแซลมอน
🔸 ไข่ปลาคาร์เวียร์
🔸 เปลือกปู กุ้ง
🔸 สาหร่าย ชนิด Microalgae Haematococus Pluvialis
🔸 ขนสีชมพูในนกฟลามิงโก

👩🏻‍⚕️: ปริมาณที่แนะนำต่อวัน ?

ไม่มีปริมาณที่ระบุแน่นอน แต่การศึกษาวิจัยส่วนใหญ่ที่ไม่พบผลข้างเคียง มีดังนี้
🍬 ทานเดี่ยวๆ ปริมาณ 2-12 มิลลิกรัมต่อวัน ต่อเนื่อง 12 สัปดาห์
🍬 ทานร่วมกับวิตามินอื่นๆในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ปริมาณ 4 มิลลิกรัมต่อวัน ต่อเนื่อง 12 เดือน

👩🏻‍⚕️: แอสตาแซนธินสะสมในร่างกายมั้ยคะ ?

✅ ไม่สะสมในร่างกายค่ะ ไม่เปลี่ยนโครงสร้างเหมือนกับวิตามินบางชนิด โครงสร้างของโมเลกุลเรียงตัวได้ดีกว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ
✅ บางรายพบผลข้างเคียง (ไม่ขึ้นกับขนาดที่ทาน) คือ มีอาการแพ้ได้บางราย, ความต้องการทางเพศลดลง, สีผิวเข้มขึ้น, ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำลง

👩🏻‍⚕️: บุคคลใดที่ไม่แนะนำให้ทาน ?

❌ ตั้งครรภ์และให้นมบุตร
❌ มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับ Autoimmune disease
❌ ทานยากดภูมิคุ้มกัน
❌ แพ้สารในกลุ่ม Carotenoids, Astaxanthin

🔘🔘🔘🔘🔘🔘🔘🔘🔘🔘

🏳️‍🌈 เราสามารถเลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยสารแอสตาเซนธิน เช่น ในเนื้อสีแดงสวยของปลาแซลมอน หรือแม้แต่การลองรับประทานกุ้งตัวเล็กทั้งเปลือกค่ะ
🏳️‍🌈 Sockeye salmon 4 ออนซ์ มีปริมาณแอสตาแซนธิน 4.5 มิลลิกรัม
🏳️‍🌈 ปัจจุบันมีทำออกมาเป็นอาหารเสริมหลาย ๆ แบรนด์ หากอยากลองดูแนะนำในปริมาณที่เหมาะสมและเลือกเป็นรูปแบบที่เป็น สารสกัดจากธรรมชาติจะได้ประสิทธิภาพและปลอดภัยกว่ากลุ่ม Synthetic ค่ะ

⭐️ มีใครทานเป็นอาหารหรือทานรูปแบบไหนอยู่บ้างลองมาแชร์กันได้เลยค่ะ ⭐️

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

How to กินช๊อคโกแลต เพื่อผิวสวย หน้าเด็ก

วันนี้ไม่ได้มาเปิดโต๊ะเครื่องแป้งนะคะ แต่ แต่ แต่.. วันนี้จะเปิดตู้ขนมค่ะ ‼️

🔴 รู้ไหมว่า .. หมอชอบทานดาร์คช๊อคโกแลตมาก ๆ และวันนี้หมอมีวิธีการเลือกซื้อช๊อคโกแลตมาแบ่งปัน เพราะการทานช๊อคโกแลตอย่างถูกวิธี จะทำให้เราได้รับ “ฟลาโวนอยด์” และ “โพลีฟีนอลหลายชนิด” ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้อย่างเต็มที่ ผลก็คือ..

✔️ ผิวสวย ชะลอการเกิดริ้วรอย หุ่นดีขึ้น ผมสวย
รู้ไหมว่า ดาร์คช๊อคโกแลตยังถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มแอนตี้ออกซิแด้นที่ #สูงกว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ถึง 8 เท่านะ..จะบอกให้‼️
✔️ อารมณ์ดี คลายเครียด
พบว่าหลังทานในปริมาณปกติไปประมาณ 2 สัปดาห์ ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ลดการซึมเศร้า เพราะในช๊อคโกแลตมีสาร MAO inhibitors ออกฤทธิ์คล้ายยาต้านเศร้านั่นเอง
✔️ ความจำดีขึ้น
เพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำของสมองได้ 2-3 ชั่วโมง
✔️ ช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
ลดความดันโลหิต (SBP 2.8-4.7 mmHg, DBP 1.9-2.8 mmHg)
✔️ ช่วยลดคลอเรสเตอรอลได้
หลังกินดาร์คช๊อคโกแลตที่มีโกโก้ 70% ปริมาณ 100 กรัม/วัน นาน 1 สัปดาห์ พบว่า ลด LDL 6% เพิ่ม HDL 8%
✔️ บำรุงสายตา

แต่ระวัง..!! ถ้าหากเลือกผิด สิ่งที่ได้จะเป็นน้ำตาลและไขมัน ซึ่งส่งผลเสียมากกว่า

🔴 ถ้าเรียงลำดับปริมาณฟลาโวนอยด์จากมากไปน้อย จะได้เป็น
1.Cacao คาเคา —> ไม่ค่อยหวาน แต่มีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะที่สุด !!!
2.Cocoa โกโก้ —> หวานนิดหน่อย มีสารต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่าคาเคา โดยที่มากน้อยเท่าไหร่ขึ้นกับว่า..มีปริมาณโกโก้ผสมอยู่เท่าใด
🍫 Dark chocolate มีผงโกโก้ผสมอยู่มากกว่า 70% จึงเป็นช๊อคโกแลตที่มีมีสารฟลาโวนอยด์มากสุด
🍫 Milk chocolate มีผงโกโก้น้อยกว่า 70% จึงมีสารฟลาโวนอยด์น้อยลง และมีการเพิ่มนมและน้ำตาล
🍫 White chocolate ไม่มีผงโกโก ไม่มีฟลาโวนอยด์ มีเนยโกโก้ (ไขมัน) นม น้ำตาล เพิ่มเข้ามา

🔴 ช๊อคโกแลตข้างต้น หากมีการผ่านกระบวนการต่าง ๆ เช่น อบ หมัก ทำให้เป็นด่างมากขึ้น จะทำให้ขมน้อยลง รสนุ่มขึ้น ทานง่ายขึ้น —> แต่..ฟลาโวนอยด์..จะลดลงไป 60-90% เลยนะจ๊ะ‼️ พวกนี้จะระบุไว้ว่า
🍫 Dutched
🍫 Process with Alkali
เล่าแบบนี้อาจจะนึกยังไม่ออก เหล่านี้ก็คือพวกเครื่องดื่มโกโก้ปรุงสำเร็จพร้อมดื่ม เช่น โอวัลติน ไมโล เป็นต้น

🔴 European Food Safety Authority แนะนำปริมาณฟลาโวนอยด์ที่รับประทานในโกโก้หรือช๊อคโกแลต คือ 200 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับผลโกโก้ประมาณ 2.5 กรัม หรือ ดาร์คช๊อคโกแลต 2 ชิ้นเล็ก

สรุปว่า ถ้าอยากกินช๊อคโกแลตให้ดีต่อสุขภาพก็ควรเลือกแบบนี้ค่ะ

✅ ชนิดผง —> ผงคาเคา หรือ ผงโกโก้แบบปรุงแต่งน้อยที่สุด เลี่ยงพวกผสมพร้อมชงดื่มเพราะมักผสมน้ำตาล แล้วเราค่อยมาปรุงรสเองนิดหน่อยก็พอ
✅ ช๊อคโกแลตแท่ง —> ดาร์คช๊อคโกแลตแบบที่มี %โกโก้สูง ๆ น้ำตาลน้อย ๆ และกินวันละ 2-3 ชิ้นเล็ก ๆ พอ
✅ กินตอนเช้า ช่วยให้สดชื่นอารมณ์ดี กระปรี้กระเปร่าเพิ่มขึ้นได้ 2-3 ชั่วโมง
✅ ช๊อคโกแลตที่ผสมถั่วและผลไม้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มเติมส่วนของรสชาติ อันนี้แล้วแต่คนชอบ

🔴 ข้อควรระวัง

❌ ช๊อคโกแลต อาจทำให้กระตุ้นไมเกรนได้ในบางคน
❌ ไม่แนะนำในคนเป็นโรคไต เพราะช๊อคโกแลตมีกรดออกซาลิคสูง เพิ่มความเสี่ยงเกิดนิ่วได้

🔴 ส่วนตัวจะกินตัวที่หาซื้อได้ไม่ยากเกินไป และดูแล้วมีประโยชน์ต่อสุขภาพ อารมณ์ดี ผิวพรรณอ่อนเยาว์ ตัวนี้เลย Lindt เป็น Excellent Cacao 100% ไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย

ใครอยากลองกินตามก็ได้ไม่ว่ากันค่ะ กินแล้วจะหน้าเด็กไหมต้องไปลองเองนะจ๊ะ แต่ข้อมูลสนับสนุนเบอร์นี้ ส่วนตัวคิดว่าไม่กินไม่ได้แล้ว

ชอบเรื่องรีวิวช๊อคโกแลตอันนี้ไหมคะ ❓

ต่อไปรีวิวอะไรดีนะ..คิดก่อน ‼️

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
No sponsored content

Product mentioned
Lindt Thailand

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

รู้ก่อนซื้อ ! กินวิตามินซีตัวไหนดี

30ข้อควรรู้ก่อนซื้อวิตามินซีมารับประทาน [ ตอนที่ 1]

🔰🔰🔰🔰🔰🔰🔰🔰🔰

ปัจจุบันมีวิตามินซีชนิดรับประทานมากมายหลายยี่ห้อ เราจะทราบได้อย่างไรว่าควรเลือกยี่ห้อไหนดี ⁉️
ในโพสต์นี้หมอจะขอเล่าหลักการเบื้องต้น เพื่อนำไปประกอบการเลือกซื้อวิตามินซีมาทาน หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกท่านนะคะ

อ่านย่อ -> ดูรูป

อ่านละเอียด -> ในโพสต์นี้

🍊🍊🍊🍊🍊🍊🍊🍊🍊

1.🌈 วิตามินซียี่ห้อที่ดี ควรมีข้อมูลระบุชัดเจนดังนี้ ข้อมูลผ่าน อย, ระบุวันเดือนปีผลิตและหมดอายุ, ระบุสถานที่ผลิต, ระบุชนิดของวิตามินซีให้แน่ชัดว่าเป็นชนิดไหน หากไม่ระบุชนิดส่วนตัวหมอเองจะไม่เลือก เพราะไม่มีอะไรการันตีว่าจะได้รับวิตามินซีนั้นจริงหรือไม่

2.🌈 วิตามินซีแบบเม็ด แคปซูล เยลลี่ ผงละลายน้ำชงดื่ม เม็ดฟู่ พบว่าได้ประโยชน์ไม่ต่างกัน
การเลือกรูปแบบขึ้นกับความสะดวก เช่น
แบบเยลลี่มีน้ำตาล เด็กกินง่าย แต่ระวังฟันผุได้
แบบอม เป็นกรด กัดเคลือบฟัน ระวังฟันกร่อนได้
แบบผงชงดื่ม เหมาะกับคนไม่สะดวกกินเม็ดใหญ่

3.🌈 วิตามินซีแบบผงหรือเม็ดฟู่
สามารถผสมน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ก็ได้ ไม่มีผลอะไร เวลากินต้องละลายให้ฟองหมดก่อนกิน ไม่งั้นท้องอืด แต่แบบนี้ดีสำหรับคนมีปัญหาการกินยาเม็ดใหญ่ หรือผู้สูงอายุที่มีปัญหาการดูดซึม

4.🌈 วิตามินซีรูปแบบธรรมดา คือ L-ascorbic acid
เป็นแบบที่เสื่อมสลายง่าย ดูดซึมทันที และมักระคายเคืองกระเพาะอาหาร มีความเป็นกรดเยอะ ไม่แนะนำสำหรับคนที่มีโรคกระเพาะอาหาร

5.🌈 วิตามินซีแบบธรรมดา & แบบ Slow release
มีงานวิจัยพบว่าหลังทานแล้วทั้ง 1 เดือน, 2 เดือน พบว่าระดับ ascorbic acid ในกระแสเลือดไม่ต่างกัน ดังนั้น ผลที่ได้รับไม่ต่างกัน บางงานวิจัยยังพบว่าการดูดซึมของชนิด slow release น้อยลงด้วยซ้ำ และราคาค่อนข้างสูงกว่าโดยไม่จำเป็น

6.🌈 วิตามินซีรูปแบบเกลือกรดแอสคอร์บิก (Buffered C)
จะมีความเป็นกรดลดลง ช่วยลดผลข้างเคียงจากการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ แต่ได้ผลไม่แตกต่างจากวิตามินซีธรรมดา
ในกลุ่มนี้มีข้อระวังในการเลือกทานให้ดี เพราะมีการดูดซึมสารอื่นร่วมด้วย เช่น
✨ Sodium ascorbate
มี Na 111 mg/1000 mg ระวังในคนเป็นโรคไตและความดันโลหิตสูง

✨ Potassium ascorbate
มี K 175 mg/1000 mg ระวังการทานในคนที่ไตวาย หรือทานยาบางชนิดที่อาจทำให้โพแทสเซียมสูงจนเป็นอันตราย

✨ Magnesium ascorbate
อาจทำให้ท้องเสีย ปวดมวนท้อง คลื่นไส้ได้
✨ Zinc ascorbate
✨ Molydenum ascorbate, Chromium ascorbate ยังไม่มีข้อมูลแนะนำปริมาณชัดเจน

7.🌈 วิตามินซีรูปแบบ Ester-C หรือ Ascorbate & Vitamin C metabolite
มีการศึกษาของเจ้าของบริษัทพบว่าช่วยในเรื่องการดูดซึมได้ดีขึ้น ส่วนงานวิจัยอื่น ๆ พบว่า ผลที่ได้ไม่แตกต่างจากวิตามินซีธรรมดา ดังนั้นรูปแบบนี้อาจจะยังข้อมูลไม่ชัดเจน
กลุ่มนี้จะมีส่วนผสมของ Calcium ascorbate + Metabolites (DHA, Ca threonate)
มี Ca 90-110 mg/1000mg ระวังการกินในคนที่มีความเสี่ยงต่อแคลเซียมสูง หรือคนที่กินแคลเซียมเสริมอยู่แล้ว

8.🌈 วิตามินซีที่ผสม Bioflavonoids และ rosehip
มีรายงานวิจัยบางอันพบว่าช่วยเพิ่มการดูดซึมได้ดียิ่งขึ้น 30-40% แต่ในขณะที่บางรายงานพบว่าไม่แตกต่างกัน ดังนั้นก็อาจเป็น ทางเลือก แล้วแต่จะพิจารณา

9.🌈 วิตามินซีรูปแบบ Ascorbyl Palmitate
ละลายในน้ำและน้ำมัน ข้อมูลเรื่องเพิ่มการดูดซึมยังไม่มากนัก นิยมนำมาใช้ในรูปแบบทา และแบบนี้ยังมีผลช่วย antioxidants ได้อย่างดี

10.🌈 วิตามินซีรูปแบบ Pureway C หรือ Vitamin C + Lipid Metabolites
การศึกษายังไม่มาก พบว่าไม่แตกต่างจากวิตามินซีธรรมดา

11.🌈 วิตามินซีรูปแบบ Liposomal vitamin C
เป็นรูปแบบที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมได้ดีกว่าวิตามินซีธรรมดา (L ascorbic acid) และสามารถกินสองรูปแบบพร้อมกันได้โดยไม่แย่งกันดูดซึม ที่สำคัญคือ การดูดซึมดีมากเรียกได้ว่าเป็นรองแค่การฉีดวิตามินซีเข้ากระแสเลือดเท่านั้น จึงมีการใช้รูปแบบนี้กรณีต้องการ dose สูง เช่น ฆ่าเซลล์มะเร็ง นอกจากนั้นยัง ไม่ค่อยมีผลข้างเคียงระคายเคืองกระเพาะอาหาร

12.🌈 หากไม่มีโรคประจำตัวอะไร และอยากทานวิตามินซีเสริม แนะนำทานวันละ 500-1,000 มก/วัน เพราะส่วนหนึ่งก็ได้จากอาหารร่วมด้วย พบว่าการกินวิตามินซีระดับนี้อย่างต่อเนื่อง 4-5 ปี ไม่มีอันตรายอะไรถ้าหากไม่มีโรคประจำตัว

13.🌈 วิตามินซีละลายในน้ำ มีจุดอิ่มตัวในการดูดซึม และต้องมีตัวนำพาเข้าเซลล์ โดย
🚙 L-ascorbic acid อาศัยตัวนำพา Na-dependent VC transporter (SVCT 1,2)
🚙 DHA (Dehydroascorbic acid) อาศัยตัวนำพา Glucose transporter (GLUT 1,2,3,4)

ยิ่งกินครั้งละปริมาณมากจะดูดซึมได้น้อยลงเรื่อย ๆ เช่น

ทานครั้งละ 500 มก. ร่างกายจะดูดซึมได้ 63%
แต่ทานครั้งละ 1,250 มก. จะดูดซึมได้แค่ 46%
ดังนั้น แนะนำทานแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 1,000 มก. และแบ่งทาน 2-4 ครั้งต่อวัน

14.🌈 เวลาที่ได้ผลดีที่สุด คือ ทานหลังอาหารเช้า จะช่วยออกฤทธิ์ antioxidant เต็มที่ทั้งวัน และร่างกายจะขับออกทางปัสสาวะภายใน 4-6 ชั่วโมง จะไม่มีการตกค้างในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งหากทานก่อนนอนและไม่ได้ลุกปัสสาวะอาจเกิดการสะสมและรวมตัวกับแคลเซียมในร่างกายเป็นนิ่วได้ และการกินก่อนอาหารอาจแสบท้องได้

15.🌈 RDA แนะนำระดับที่ควรรับประทานต่อวันเพื่อ ป้องกันภาวะขาดวิตามินซี (Scurvy)
ชาย 65 มก/วัน, หญิง 90 มก/วัน, ตั้งครรภ์ 80 มก/วัน, ให้นมบุตร 120 มก/วัน

16.🌈 พบว่าคนสูบบุหรี่และผู้ใกล้ชิด (passive smokers) มีระดับวิตามินซีในเลือดต่ำกว่าคนปกติ จึงแนะนำให้เสริมวิตามินซีเพิ่มอย่างน้อย 35 มก/วัน จึงแนะนำทานวันละ 110 มก/วัน

17.🌈 วิตามินซีจากธรรมชาติ & วิตามินซีสังเคราะห์ ไม่มีผลแตกต่างกันชัดเจน เลือกอะไรก็ได้

18.🌈 กรณีเป็นหวัด พบว่าการทานวิตามินซีเสริม 1,000-3,000 มก.ต่อวันในช่วงที่ป่วย ช่วยให้หายจากอาการหวัดเร็วขึ้น และความรุนแรงของหวัดน้อยลง ส่วนการกินเพื่อป้องกันการเป็นหวัดยังไม่มีข้อมูลแน่ชัด

19.🌈 วิตามินซีที่ดี ควรบรรจุในบรรจุภัณฑ์ทึบแสง ซีลขวดป้องกันอากาศเข้า ดังนั้นยี่ห้อที่ไม่ใส่กระปุกหรือซองทึบ และไม่ซีลให้ดี มีโอกาสเสื่อมสภาพและได้ผลไม่ดีนัก และอาจไม่คุ้มค่ากับเงินซื้อที่เสียไป

20.🌈 วิตามินซี & อิมมูน พบว่าช่วยปกป้องสารอนุมูลอิสระ, ช่วยในการสร้างคอลลาเจน, ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

21.🌈 การทานวิตามินซี 2 กรัม/วัน รูปแบบใดก็ได้ นานประมาณ 1 เดือนขึ้นไป สามารถช่วยลดระดับ histamine มีการวิจัยว่าช่วยให้ลดการกำเริบและอาการของภูมิแพ้ดีขึ้นได้

22.🌈 วิตามินซีช่วยในการทำงานของเม็ดเลือดขาว (neutrophils, macrophages) ในการกำจัดเชื้อโรค และ ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโรคได้ดีขึ้น พบว่าการเสริมวิตามินซีอย่างน้อย 250 มก/วัน ช่วยเพิ่ม Neutrophils chemotaxis 20%
⭐️ ผลด้านนี้จะดีขึ้นถ้ากินคู่กับ vitamin E

23.🌈 ขาดวิตามินซี ทำให้เป็นโรคลักปิดลักเปิด หรือ Scurvy มีอาการผิวหนังดังรูปที่เคยโพสต์ไปค่ะ

24.🌈 กินผักผลไม้ 5 servings/day ให้วิตามินซี 200-250 มก/วัน

25.🌈 แนะนำไม่ให้ทานเกิน 2 กรัม/วัน เพราะอาจเกิด ผลข้างเคียง ปวดมวนท้อง ท้องเสียจาก osmotic diarrhea และมีความเสี่ยงต่อการเกิดเกิดนิ่วไตได้จากการเปลี่ยนเป็น oxalate แล้วไปจับแคลเซียมตามมา (โดยเฉพาะคนไตวายเพิ่งความเสี่ยงมากขึ้น)

26.🌈 วิตามินซีทำให้เม็ดเลือดแดงแตกได้ห้ามให้ในคนไข้ขาดเอนไซม์ G6PD และ PNH

27.🌈 วิตามินซีช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก มีประโยชน์ในคนผมร่วงที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก แต่ยังไม่มีรายงานว่าได้ผลในคนผมร่วงจากสาเหตุอื่น

28.🌈 ระดับวิตามินซี 1,000 มก/วัน (คือทานวันละประมาณ 2 กรัม) สามารถช่วยให้ขาวขึ้นได้ เพราะวิตามินซีช่วยลดการสร้างเม็ดสี ช่วยปกป้องการทำร้ายผิวจากอนุมูลอิสระและแสงแดด แต่ความขาวขึ้นจะไม่มีทางขาวเวอร์ไปมากกว่าระดับสีผิวเดิมของคน ๆ นั้น และความขาวใสที่เกิดขึ้นนี้ต้องปฏิบัติตัวอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น การปกป้องแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ

29.🌈 กินวิตามินซีแล้วก็ยังต้องทาร่วมด้วย เพราะวิตามินซีจากการกินจะถูกดูดซึมทางกระแสเลือดมาเลี้ยงผิวหนังได้ไม่ถึงชั้นตื้น ๆ ซึ่งต้องอาศัยวิตามินซีจากการทาร่วมด้วยค่ะ

30.🌈 Acerola Cherry เป็นพืชชนิดหนึ่ง พบว่าใน 100 g จะมี vitamin C 1,677 mg
ดังนั้น ใน 1000 mg จะมี vitamin C 16.77 mg

วิตามินซีตอนที่ 1 จบแล้วค่ะ อ่านจบกันไหม 😊
🔰🔰🔰🔰🔰🔰🔰🔰🔰

👩🏻‍⚕️ ขอถามความเห็น อยากให้ทำเปรียบเทียบวิตามินซีชนิดกินยี่ห้อเด็ดๆมั้ยคะ ❓ ถ้าชอบถ้าอยากรู้พิมพ์ “อยากรู้” หน่อยค่า
👩🏻‍⚕️ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการเลือกซื้อวิตามินซีชนิดรับประทานกันนะคะ

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

⭐️วิตามินซีแบบทา -> https://www.facebook.com/476743752739537/posts/832838493796726/
⭐️โรคลักปิดลักเปิด -> https://www.facebook.com/476743752739537/posts/971757463238161/
▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
References
Vitamin C and Immune Function
Nutrients 2017 Nov; 9(11): 1211.
Cochrane Reviews Douglas et al., 2000, Hemila et al., 2007, Hemila & Chalker, 2013
Vitamin C physiology: the known and the unknown and Goldilocks
Oral Dis. 2016 Sep; 22(6): 463-493.
The Role of Vitamins and Minerals in Hair loss: A Review
Dermatol Ther (Heidelb). 2019 Mar: 9(1): 51-70.

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️

เรียบเรียงโดย แพทย์หญิงวรายุวดี อมรภิญโญ อายุรแพทย์โรคผิวหนัง
บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

มารู้จักแอสตาแซนทินกัน

🍭🍭🍭 แอสตาแซนธินดีหรือไม่ ?🍭🍭🍭

💭 คุณหมอคะ หนูได้ยินคนพูดถึง Astaxanthin หนูควรทานเยอะๆมั้ยคะ หนูมีข้อห้ามที่ทานไม่ได้มั้ย และทานเยอะๆมีผลข้างเคียงอะไรมั้ยคะ

👩🏻‍⚕️ : มาทำความรู้จักกันว่า Astaxanthin คืออะไร?


เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง ช่วยยับยั้งการเกิดปฎิกิริยาที่ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในไมโทคอนเดรียของตับได้
✅ มากกว่าวิตามินอีถึง 1,000 เท่า
นอกจากนี้ยังช่วยยับยั้งการเกิดออกซิเดชั่นของอนุมูลอิสระได้มากกว่าสารอื่นๆ ดังนี้
✅ มากกว่าเมล็ดองุ่นสกัด 17 เท่า
✅ มากกว่าเบต้า แคโรทีน 40 เท่า
✅ มากกว่าแอลฟา ไลโปอิก เอซิด 75 เท่า
✅ มากกว่าวิตามินอี แอลฟาโทโคฟีรอล 550 เท่า
✅ มากกว่าสารในชาเขียว 550 เท่า
✅ มากกว่าโคเอนไซม์คิวเท็น 800 เท่า
✅ มากกว่าวิตามินซี 6000 เท่า

👩🏻‍⚕️ : ประโยชน์ของสารแอสตาแซนธิน


นอกจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีเยี่ยม ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่างๆดังนี้
🔸 ช่วยบำรุงสายตา ลดอาการเมื่อยล้าของสายตาจากการใช้สายตานานๆ ป้องกันดวงตาจากรังสียูวี
🔸 ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อร่างกาย
🔸 ช่วยให้ผิวคงความอ่อนวัย ลดริ้วรอย ความหย่อนคล้อยและจุดด่างดำ
🔸 ช่วยดูแลสุขภาพกระเพาะอาหาร
🔸 ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ เส้นเลือดในสมองแตก

👩🏻‍⚕️ :ผู้ที่ควรรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระแอสตาแซนธิน (Astaxanthin)


✔️ ผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพทุกเพศทุกวัย
✔️ ผู้ที่ใส่ใจในความงามและสุขภาพผิว
✔️ ผู้ที่ต้องเผชิญกับมลภาวะต่างๆเป็นประจำเช่นความเครียด ฝุ่นควันจากท่อไอเสียรถยนต์ เป็นต้น
✔️ ผู้ที่ต้องทำงานใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
✔️ นักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ

👩🏻‍⚕️: อาหารประเภทไหนมี Astaxanthin เยอะบ้าง ?


แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารในกลุ่มแซนโทรฟิลล์ ตระกูลแคโรทีนอยด์ มีลักษณะเป็นสารสีแดงที่พบมากในอาหารเหล่านี้ค่ะ
🔸 ปลาแซลมอน
🔸 ไข่ปลาคาร์เวียร์
🔸 เปลือกปู กุ้ง
🔸 สาหร่าย ชนิด Microalgae Haematococus Pluvialis
🔸 ขนสีชมพูในนกฟลามิงโก

👩🏻‍⚕️: ปริมาณที่แนะนำต่อวัน ?


ไม่มีปริมาณที่ระบุแน่นอน แต่การศึกษาวิจัยส่วนใหญ่ที่ไม่พบผลข้างเคียง มีดังนี้
🍬 ทานเดี่ยวๆ ปริมาณ 2-12 มิลลิกรัมต่อวัน ต่อเนื่อง 12 สัปดาห์
🍬 ทานร่วมกับวิตามินอื่นๆในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ปริมาณ 4 มิลลิกรัมต่อวัน ต่อเนื่อง 12 เดือน

👩🏻‍⚕️: แอสตาแซนธินสะสมในร่างกายมั้ยคะ ?


✅ ไม่สะสมในร่างกายค่ะ ไม่เปลี่ยนโครงสร้างเหมือนกับวิตามินบางชนิด โครงสร้างของโมเลกุลเรียงตัวได้ดีกว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ
✅ บางรายพบผลข้างเคียง (ไม่ขึ้นกับขนาดที่ทาน) คือ มีอาการแพ้ได้บางราย, ความต้องการทางเพศลดลง, สีผิวเข้มขึ้น, ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำลง

👩🏻‍⚕️: บุคคลใดที่ไม่แนะนำให้ทาน ?


❌ ตั้งครรภ์และให้นมบุตร
❌ มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับ Autoimmune disease
❌ ทานยากดภูมิคุ้มกัน
❌ แพ้สารในกลุ่ม Carotenoids, Astaxanthin

🏳️‍🌈 เราสามารถเลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยสารแอสตาเซนธิน เช่น ในเนื้อสีแดงสวยของปลาแซลมอน หรือแม้แต่การลองรับประทานกุ้งตัวเล็กทั้งเปลือกค่ะ
🏳️‍🌈 Sockeye salmon 4 ออนซ์ มีปริมาณแอสตาแซนธิน 4.5 มิลลิกรัม

Copyright ©👩🏻‍⚕️HELLO SKIN by หมอผิวหนัง

จริงหรือไม่กับความเชื่อที่ว่า.. กินช๊อคโกแลต กินขนมปัง แล้วสิวเห่อ

🍫🍮🎂🍭🥧🍨🍦🍿🧃🥤🍰🍹

ข้อเท็จจริงในเรื่องของ “อาหาร” กับ “การเกิดสิว” ที่มีหลักฐานจากงานวิจัยมีดังนี้

อาหารในกลุ่มที่มีค่าดัชนี้น้ำตาลต่ำ (Low-glycemic diet) ช่วยลดการกระตุ้นให้เกิดสิวได้

เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว ข้าวโอ๊ต เป็นต้น โดยทั้งนี้เกี่ยวกับระดับน้ำตาลในกระแสเลือดหลังรับประทานอาหาร โดยถ้าหากระดับสูง จะส่งผลให้เกิดกระบวนการอักเสบในร่างกายมากขึ้น และยังส่งผลให้มีการสร้าง sebum มากขึ้น เป็นผลให้เกิดสิวมากขึ้นตามมา
งานวิจัยพบว่า การเปลี่ยนมาทานอาหารโลว์จีไอทำให้สิวลดลงเกือบ 90% ในเวลาประมาณ 10-12 สัปดาห์

✅ การดื่มนม (ไม่รวมนมปั่น) สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวได้

ถึงแม้ milk จัดอยู่ในกลุ่ม low glycemic index แต่มีรายงานพบว่าการดื่มนม ไม่ว่าจะเป็น whole, low-fat, skim milk ทำให้เกิดสิวมากขึ้น โดยข้อสันนิษฐานว่ามีฮอร์โมนบางชนิดในนม ทำให้เกิดการอักเสบและกระตุ้นสิวมากขึ้น
โดยปริมาณการดื่มที่ทำให้เกิดสิวนั้นยังไม่แน่ชัด จากงานวิจัยหนึ่งพบว่า เด็กที่ดื่ม skim milk มากกว่า 2 แก้วต่อวัน มีสิวเยอะกว่าเพื่อนชัดเจน

✅ ผลิตภัณฑ์จากนมอย่างอื่น ยังไม่มีรายงานว่าทำให้กระตุ้นการเกิดสิว

ไม่ว่าจะเป็น โยเกิร์ต, ชีส 🧀

ยังมีอาหารอีกมากมายที่บางท่านเชื่อว่า ตนเองรับประทานแล้วทำให้สิวเห่อมากขึ้น แต่ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าจริงหรือไม่

DERMATOLOGIST RECOMMEND….🏆🏆🏆
สิ่งที่แพทย์เฉพาะทางผิวหนังแนะนำคือ

🥇ให้ลองสังเกตว่าอาหารที่ท่านสงสัยนั้น เมื่อทานแล้วทำให้เกิดสิวมากขึ้นหรือไม่ และ ลองหยุดรับประทานอาหารเหล่านี้ดูประมาณ 1 เดือน แล้วดูว่าสิวลดลงหรือไม่ จะช่วยบอกได้คร่าว ๆ ว่า อาหารนั้น ๆ กระตุ้นสิวได้จริงหรือ

🥇 การรักษาสิวให้ถูกวิธี ไม่เพียงแต่การเลือกทานอาหารเท่านั้น ยังขึ้นกับปัจจัยอีกหลายอย่างที่ต้องปฏิบัติร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการทายาสิว การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับสภาพผิว การมาติดตามการรักษาตามนัดแพทย์ เพื่อให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด

Reference : https://www.aad.org/diet

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️

👩🏻‍⚕️HELLO SKIN by หมอผิวหนัง