Tag Archives: antiaging

Tannic acid ซุปตาร์ชะลอริ้วรอยแห่งวัย

หนึ่งในซุปตาร์ส่วนผสมชะลอริ้วรอยแห่งวัยอีกตัว ที่วันนี้อยากให้รู้จักกัน คือ Tannic acid

Tannic acid เป็นสาร phenolic compound ที่ได้จากการไฮโดรไลซ์ Tannin มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น การใช้เป็นยารักษาโรคบางอย่าง ใช้ปรุงแต่งรสในอาหารและเครื่องดื่ม สามารถพบได้ในใบของพืชและเปลือกผลไม้หลายชนิด เช่น Japanese gall (Rhus javanica) หรือ gallnut (Quercus infectoria) หรือ เปลือกผลไม้พวกองุ่น ชาเขียว และสิ่งทีทำให้มหัศจรรย์กว่านั้น คือทำให้ ต้นสนยักษ์ ซีคัวญา มีอายุยืนยาวได้มากกว่า 3,000 ปี (ต้นสนยักษ์ในรูป)

Tannic acid ชะลอวัย
Tannic acid

ในแง่ผิวหนัง ปัจจุบันมีการกล่าวถึงประโยชน์ของการนำกรดแทนนิกมาผสมในสกินแคร์มากขึ้น
Tannic acid เป็นที่นิยมนำมาผสมในสกินแคร์กลุ่มต้านอนุมูลอิสระเพื่อหวังผลเรื่องการชะลอผิวเสื่อมจากวัย, แสงแดดและมลภาวะ เพราะมีคุณสมบัติ ดังนี้

✔️ Photoprotection
สามารถดูดซับแสงได้หลายความยาวคลื่น และ ช่วยปกป้องและลดความเสียหายของ DNA & fibroblast และลดการทำร้ายผิวจากอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสียูวีและมลภาวะ
✔️ Anti oxidation
ยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ Hydroxy radical ได้ดี และมีฤทธิ์เสริมการทำงานกับ L-ascorbic acid ทำให้ต้านอนุมูลอิสระโดยยับยั้งปฏิกิริยา Fenton ได้ดีมากยิ่งขึ้น
✔️ Anti inflammation
ช่วยลดการอักเสบที่ผนังหลอดเลือด และลดการเกิดอนุมูลอิสระในผนังเส้นเลือดได้ ช่วยสร้างและกระตุ้น KLF2 (Kruppel-liked Factor 2) ซึ่งช่วยลดการอักเสบในผนังเส้นเลือด
✔️ Scavenger
กำจัดโลหะหนักและสารอนุมูลอิสระ เช่น DPPH, superoxide anion, peroxyl, nitric oxide and peroxynitrite
✔️ Anti collagenase, elastase & MMP-1
ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่มาทำลายโครงสร้างผิว เช่น อิลาสติน คอลลาเจน ไฮยาลูรอน

ดังนั้น โดยรวมจึงส่งผลให้ผิวแลดูมีสุขภาพดี ริ้วรอยเล็ก ๆ ดูลดลง จากคุณสมบัติดังกล่าวทำให้ tannic acid ถูกขนานนามว่าเป็น Anti photoaging agent ที่ดีมากตัวหนึ่ง

ในแง่ของการ เสริมกำแพงผิวและลดผื่นผิวหนังอักเสบ พบว่า Tannic acid ยังมีข้อมูลเรื่องการทาเพื่อลดการอักเสบผิวและสามารถเสริมกำแพงผิวให้แข็งแรงขึ้นได้ จากข้อมูลทดลองในหนู พบว่าสามารถยับยั้ง NFsignaling, เพิ่ม PPARγ protein expression
และลดการอักเสบของผื่นผิวหนังได้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่น่าสนใจและน่าติดตามว่าอนาคตจะมีการนำมาประยุกต์กับผิวมนุษย์ในแง่การทำสกินแคร์เสริมกำแพงผิวหรือไม่

นอกจากนั้น Tannic acid ยังมีข้อมูลช่วยลดการหายของแผล ต้านเชื้อแบคทีเรีย และลดการเกิดรอยแดงจากการอักเสบได้

PRACTICAL POINT

ปัจจุบันแนวโน้มของการใช้สกินแคร์กลุ่มฟื้นฟูผิว เพื่อการบำรุงผิวมีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกลุ่ม Anti-aging เพราะมีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องของ Anti-oxidant และ Photoprotection ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยชะลอให้ความเสื่อมของผิวเราเกิดขึ้นได้ช้าลง เพราะไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตปัจจุบันที่ต้องเผชิญแสงแดดและมลภาวะเป็นประจำ ทำให้ผิวถูกทำร้ายโดยไม่รู้ตัว

สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ Tannic acid เป็นอีกตัวที่มีข้อมูลการทาเพื่อช่วย Anti-aging ได้ดี และหากใช้ร่วมกับ L-ascorbic acid จะช่วยเสริมฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระได้มากขึ้นอีก

ยกตัวอย่าง Tannic [CF] Serum ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ของ Alphascience แบรนด์เวชสำอางผู้นำด้าน Cutting-edge antioxidant technology จากฝรั่งเศส ก็มีส่วนผสมหลักเป็น 2% Tannic acid และ 10% Stabilized L-Ascorbic acid ร่วมด้วย (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมตอนท้าย)

หวังว่าบทความจะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปประยุกต์ใช้ในการดูแลผิวของทุกท่านนะคะ

ด้วยความปรารถนาดี


References
Int J Biol Macromol. 2021 Nov 30;191:918-924.
Adv Wound Care (New Rochelle). 2019 Jul 1;8(7):341-354.
Exp Dermatol. 2018 Aug;27(8):824-826.
Cytokine. 2015 Dec;76(2):206-213.
J Invest Dermatol. 2010 May;130(5):1459-63.


[Disclaimer] สนับสนุนความรู้โดย
Tannic [CF] Serum
จาก AlphascienceThailand แบรนด์เวชสำอางผู้นำด้าน Cutting-edge antioxidant technology จากฝรั่งเศส

Tannic [CF] Serum จาก Alphascience Thailand
Tannic [CF] Serum

เซรั่มช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอริ้วรอยแห่งวัย ผิวแลดูใสและจุดด่างดำจางลงเร็ว
เหมาะกับผิวธรรมดา ผิวแห้ง

ส่วนผสมหลัก
▫️2% Tannic acid ลดการทำร้ายผิวจากอนุมูลอิสระ ยับยั้งในกระบวนการผลิตเม็ดสีผิวเมลานิน เสริมการสังเคราะห์คอลาเจนใต้ผิว
▫️10% Stabilized L-Ascorbic acid รูปแบบที่เสถียรสูงจากการทดสอบโดย SGS Multilab พบว่าการออกฤทธิ์คงตัวเกือบ 90% แม้อยู่ในอุณหภูมิสูงถึง 40°C เป็นเวลา 3 เดือน ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลาเจนใต้ผิว ผิวแลดูกระจ่างใส
▫️0.5% Ferulic acid ลดการทำร้ายผิวจากอนุมูลอิสระและซ่อมแซมผิวถึงระดับ DNA
▫️Ginkgo Biloba ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และ ช่วยผิวแลดูกระจ่างใสขึ้น

*ข้อมูลจาก Alphascience ในหญิง 22 คน เฉลี่ยอายุ 59 ปี หลังการใช้ Tannic [CF] Serum ทุกเช้า นาน 1 เดือน พบความพึงพอใจ ผิวนุ่มยืดหยุ่นขึ้น 98%, ผิวหน้าเนียนขึ้น 75%, จุดด่างดำแลดูลดลง 58%, ผิวหน้าแลดูกระจ่างใสขึ้น 70%

ไม่แนะนำให้ใช้ในผิวที่เป็นแผล หรือ หลังทำหัตถการ 48 ชั่วโมง
ปราศจากพาราเบน น้ำหอม สารกันเสีย และไม่มีการทดลองในสัตว์
เหมาะสำหรับคน ผิวปกติ และผิวแห้ง

**ผลลัพธ์การตอบสนองต่อผลิตภัณฑ์ขึ้นกับสภาพผิวแต่ละบุคคล

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Cosmeceuticals for antiaging therapy ตอน สกินแคร์ชะลอริ้วรอยแห่งวัย

Cosmeceuticals for antiaging therapy
Cosmeceuticals for antiaging therapy

แน่นอนว่าทุกคนย่อมอยากมีผิวสุขภาพดี แลดูอ่อนกว่าวัย โดยปกติผิวคนที่มีอายุมากขึ้นจะมีการเสื่อมไปตามการเวลา ดังนี้
• การสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลดลง
• การผลัดเซลล์ผิวช้าลง
• ผิวบางมากขึ้น ความยืดหยุ่นผิวลดลง
• ผิวแห้งมากขึ้น

ดังนั้น ผลที่ตามมาจากการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผิวข้างต้นคือ ริ้วรอย ความหมองคล้ำ ฝ้า กระ สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ผิวแห้ง มีความหย่อนคล้อย

คำถามคือ สกินแคร์ (ที่ไม่ใช่ยา) มีอะไรที่ช่วยเรื่อง antiaging และ ชะลอกลไกผิวเสื่อมชราข้างต้นได้บ้าง โดยจะเล่าเป็นกลุ่มเพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ

1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดด

ซึ่งทุกคนทราบดีว่ารังสียูวีโดยเฉพาะ UVA เป็นตัวการสำคัญของ photoaging ดังนั้น การทาครีมกันแดดสม่ำเสมอจึงจำเป็นอย่างยิ่งถ้าอยากชะลอผิวชราจากต้นเหตุของรังสียูวี

2. กลุ่มผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA

เมื่ออายุมากขึ้นการผลัดเซลล์ผิวหนังจะช้าลงเรื่อย ๆ การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบนที่ตายแล้วให้หลุดออกได้เร็วขึ้น และยังมีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นผิวได้ จึงส่งผลให้ผิวเรียบ ดูโกลวใส นอกจากนั้นมีข้อมูลการใช้ glycolic หรือ lactic acid 5-25% ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน โดยอาจจะไม่จำเป็นต้องทาทุกวัน ก็จะสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นหนังแท้ได้

Sunscreen and AHAs
Sunscreen and AHAs

3. กลุ่ม Retinoid derivatives

วิตามินเอชนิดทา ที่มีข้อมูลวิจัยทางการแพทย์สนับสนุนว่าช่วยเรื่อง anti aging ได้มากสุด คือ retinoic acid (ซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นยา) และพบผลข้างเคียงก็พบได้บ่อย [ลองกลับไปอ่านทบทวนในบทความก่อนนี้ได้]

กรณีชนิดที่เป็นเวชสำอางค์ (ไม่ใช่ยา) ก็มีข้อมูลว่ากลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอบางรูปแบบ สามารถช่วยเรื่อง anti aging ได้คล้ายคลึงกัน กลุ่มอนุพันธ์ต้องมีการเปลี่ยนเป็น retinoic acid ในร่างกายก่อนจะออกฤทธิ์ได้ แต่มีข้อได้เปรียบตรงที่ผลข้างเคียงเรื่องการระคายเคืองน้อยกว่า retinoic acid ทำให้สามารถใช้ได้ง่ายขึ้น ได้แก่
✔️ Retinaldehyde 0.05-0.5% ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี
✔️ Retinol ไม่ค่อยเสถียร สลายง่ายเมื่อถูกแสง และข้อมูลยังไม่มากเท่า Retinaldehyde
ส่วนในรูปแบบอื่น ยังไม่มีข้อมูลว่าช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนหรือลดริ้วรอยได้

Retinoids and derivatives ​
Retinoids and derivatives

4. กลุ่ม Peptides

เป็น amino acid สายสั้น โมเลกุลเล็ก สามารถซึมผ่านผิวชั้นบนได้ดี ไปกระตุ้นการผลิต collagen ในผิวชั้นหนังแท้ และยังเป็นส่วนประกอบของคอลลาเจนได้อีก ส่งผลให้ริ้วรอยเล็ก ๆ ลดลง ผิวเรียบขึ้น

ซึ่งปกติเปปไทด์จะมี 4 กลุ่ม ตัวที่ช่วยเรื่อง Antiaging ได้มีดังนี้
Signal peptides เช่น Palmitoyl-KTTKS, GEKG
กลุ่มนี้มักมีการใส่ palmitoyl เพื่อเพิ่มการดูดซึมและประสิทธิภาพการลดริ้วรอยเล็กได้ดีขึ้น
Carrier peptides เช่น Copper-GHK complex
กลุ่มนี้นอกจากช่วยเรื่อง antiaging แล้วยังช่วยเรื่อง wound healing ด้วย
Neurotransmitter inhibitor peptides เช่น Acetyl hexapeptide-3
เลียนแบบกรดอะมิโนใน SNAP-25 ช่วยลดการปลดปล่อย Ach (ฤทธิ์คล้าย botulinum toxin)
Enzyme inhibitor peptides เช่น Nonapeptide-7
กลุ่มนี้ช่วยเรื่องลดการสร้างเม็ดสีผิวได้ แต่อาจไม่มีผลในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนดีเท่าสามกลุ่มแรก

Peptides for antiaging​
Peptides for antiaging

5. กลุ่ม Antioxidants

กลุ่มนี้จะช่วยปกป้องผิวจากปฏิกิริยาสารอนุมูลอิสระรอบตัว ทำให้คอลลาเจนถูกทำลายน้อยลง และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวได้ เช่น

• Alpha-lipoic acid (ALA)
• L-ascorbic acid (vitamin C) 5-15%
• Niacinamide (vitamin B3) 5%
• N-acetyl-glucosamine (NAG)
• Alpha-tocopherol (vitamin E) 2-20%
• Ubiquinone (CoQ10) 1%
• Pygnogenol
• Phenols เช่น green tea extracts, resveratrol, ferulic acid
• Ectoine

Topical antioxidants​
Topical antioxidants

6. กลุ่ม Hyaluronic acid

ช่วยอุ้มน้ำ, เพิ่มความชุ่มชื้นผิว, ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และมีข้อมูลว่า HA ขนาดเล็ก (<50 kDa) ถึงกลาง (50-400 kDa) ยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในหลอดทดลองและในผิวมนุษย์ได้ นอกจากนั้น HA ขนาดเล็กยังมีข้อมูลว่าช่วยให้ริ้วรอยเล็ก ๆ ดีขึ้นได้

Hyaluronic acid​
Hyaluronic acid

PRACTICAL POINT

ดังนั้น หากใครที่กำลังจัดสกินแคร์ antiaging เพื่อช่วยในเรื่องการชะลอและฟื้นฟูการเสื่อมสภาพของผิวหนัง อาจลองพิจารณาดูตามข้างต้น

ยกตัวอย่าง

▫️ชิ้นที่ 1 ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดด ทุกเช้า
▫️ชิ้นที่ 2 ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว AHA สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
▫️ชิ้นที่ 3 ผลิตภัณฑ์กลุ่ม retinoid derivatives หรือ antioxidant หรือ peptides หรือ hyaluronic acid ซึ่งหากมีครบทุกองค์ประกอบก็มีแนวโน้มจะออกฤทธิ์ antiaging ได้ดี

หากใครที่อยากลดขั้นตอนการทาสกินแคร์หลายชิ้น ก็อาจจะมองหา สกินแคร์ที่รวมส่วนผสมหลากหลายในหลอดเดียวกัน ก็ช่วยลดขั้นตอนการทาได้

ยกตัวอย่าง VITALIF Renew Youth RetinAL ซึ่งก็เป็นอีกทางเลือกที่มีครบทั้ง Retinaldehyde + Antioxidant + Peptides + Hyaluronic acid โดยมีการบรรจุใน Niosome ซึ่งเป็นถุงเก็บสารออกฤทธิ์เพื่อให้ retinal มีความคงตัวมากที่สุดซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้มีการซึมสู่ชั้นผิวออกฤทธิ์ได้เต็มที่มากขึ้น (รายละเอียดเพิ่มเติมท้ายบทความ)

BOTTOM LINE

อย่างไรก็ตาม การใช้สกินแคร์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดูแลผิว เพื่อให้ผิวของเรามีสุขภาพดีและน่ามอง ซึ่งคงต้องทำควบคู่ไปกับวิธีการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การออกกำลังกาย การทานอาหารที่มีประโยชน์ งดสูบบุหรี่ การปกป้องผิวจากแสงแดดร่วมด้วยอย่างถูกวิธี ทั้งนี้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่าในการชะลอและซ่อมแซมผิวเสื่อมตามวัย หรือ ที่เรียกว่า Skin aging นั่นเองค่ะ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ ถ้าชอบกดไลค์ ถ้าใช่กดแชร์แบ่งปันเพื่อน ๆ ได้เลย

ด้วยความปรารถนาดี


References
Dermatology. 2021;237(2):217-229.
Int J Mol Sci. 2019;20:2126.
Facial Plast Surg Clin North Am. 2018 Nov;26(4):407-413.
ISRN Dermatol. 2013 Sep 12;2013:930164.
Skin Therapy Lett. 2008 Nov-Dec;13(8):5-9.
Dermatol Ther 2006;19:297-305.
J Invest Dermatol 2001;116:853-9.


[Disclaimer] สนับสนุนความรู้โดย Dr. Different VITALIF Renew Youth RetinAL

Dr.Different VITALIF Renew Youth RetinAL
Dr.Different VITALIF Renew Youth RetinAL

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลปัญหาผิวที่เริ่มมีริ้วรอย สีผิวไม่สม่ำเสมอ
เป็นสูตรพัฒนาจากรุ่น Vitalift-A Forte โดยมีส่วนผสมหลัก คือ Retinaldehyde 0.1% + Pro-Vitamin A + Adenosine
และที่เพิ่มเติมแบบ antiging ingredients จัดเต็ม ได้แก่

▫️กลุ่ม Antioxidant

ดังนี้ Sodium Ascorbyl Phosphate, Niacinamide 5%, Daucus Carota Sativa (carrot) root extract, Beta-Carotene

▫️ กลุ่ม Multipeptidesome ครบทั้ง 4 กลุ่มเปปไทด์

ดังนี้ Copper Tripeptide-1, Tripeptide-29, Tripeptide-1, Hexapeptide-12, Hexapeptide, Nicotinoyl Tripeptide-35, Palmitoyl Tripeptide-1, Palmitoyl Pentapeptide-4, Palmitoyl Tripeptide-29, Palmitoyl, Tetrapeptide-7, Acetyl Hexapeptide-8, Nonappetide-7

▫️ มี Hyaluronic acid small molecules

ช่วยเติมน้ำผิวชุ่มชื้นอิ่มฟู

▫️Glutamic acid derivatives

ที่เรียงตัวแบบ Liquid Crystal Emulsion (LCE) คล้ายกับ Ceramide ในกำแพงผิว ช่วยให้ความชุ่มชื้นผิวได้ยาวนาน

▫️5% Niacinamide

ยับยั้งขั้นตอนการสร้างเม็ดสี จึงช่วยให้จุดด่างดำแลดูดีขึ้น ลดการอักเสบและปรับสมดุลน้ำมันผิว

▫️สิทธิบัตร NIOSOMES

เป็นการพัฒนาระบบบรรจุเพื่อเพิ่มความเสถียรคงตัวของ retinaldehyde และช่วยนำพาซึมผ่านเข้าสู่ชั้นผิวที่ดีขึ้น พบว่าการทดสอบ หลังผลิต 3 และ 6 เดือน ยังคงมีปริมาณ retinal เหลือที่ 100% และ 97.7% ตามลำดับ

▫️ อ้างอิงประสิทธิภาพจากงานวิจัย Vitalift-A Forte เนื่องจากเป็นสูตรเดียวกัน เพียงแต่เพิ่มสาร Actives เพื่อประสิทธิภาพที่มากขึ้น หลังใช้ Vitalift-A Forte ต่อเนื่อง 4 สัปดาห์ จากการวัดด้วเครื่องมือต่าง ๆ พบว่า: Wrinkles ลดลง 12.903%, Firmness เพิ่มขึ้น 8.632%, Moisturizer retention เพิ่มขึ้น 16.618%, Skin density เพิ่มขึ้น 11.952%
{Reference https://doi.org/10.1111/jocd.13993}

ข้อควรระวัง : ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรหรือ แพ้วิตามินเอ
ไม่แนะนำให้ใช้ร่วมกับยาทากรดวิตามินเอ เช่น tretinoin, adapalene
สามารถใช้ร่วมกับ AHA, BHA, PHA ได้ แต่ควรระวังการระคายเคืองในบางราย
*ประสิทธิภาพการตอบสนองต่อผลิตภัณฑ์ขึ้นกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล


บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Fernblock Technology แต่ละรุ่นของ Heliocare

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างของผลิตภัณฑ์กันแดด Fernblock Technology แต่ละรุ่นของ Heliocare ค่ะ

Heliocare Fernblock Technology ครีมกันแดด
Heliocare Fernblock Technology

แนะนำให้ลองเลือกดูตามความเหมาะสมของผิวแต่ละคนนะคะ


อ่านบทความย้อนหลังที่
https://helloskinderm.com
รวมลิ้งค์ https://opl.to/drwarayuwadee
บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

The impact of airborne pollution on skin

โพสนี้สำหรับใครที่อยากปกป้องผิวจากการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย ‼️

วันนี้หมอจะเน้น 9 ข้อสั้น ๆ ให้เห็นถึงความสำคัญของการปกป้องผิวจาก มลภาวะทางอากาศ เพิ่มเติมจากการป้องกันแดดค่ะ เพราะเชื่อว่าทุกคนที่ติดตามเพจอยู่ คงรู้หมดแล้วว่ากันแดดสำคัญขนาดไหน


Reference

The impact of airborne pollution on skin
JEADV vol 33 issue 8
First published: 21 March 2019

รวมลิ้งค์ https://linktr.ee/drwarayuwadee

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

รวมส่วนผสมชะลอผิวแก่ในครีมกันแดด

ส่วนผสมชะลอผิวแก่ในครีมกันแดด

ส่วนผสมที่เติมในครีมกันแดดแล้วเสริมการปกป้องผิวในครีมกันแดดได้มีข้อมูลอะไรบ้าง

Additives in sunscreen

การเผชิญกับ UV และ VL เป็นเวลานาน สามารถกระตุ้นให้มีการเพิ่มขึ้นของ ROS, MMPs และมีการทำร้าย DNA ที่ผิวหนังได้ ดังนั้น การทาครีมกันแดดสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งค่ะ

อ่านเจอข้อมูลงานวิจัยที่พูดถึงสารต่าง ๆ ที่นำมาผสมในครีมกันแดดเลยนำมาแบ่งปัน
ส่วนใหญ่วัตถุประสงค์ก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการทำร้ายผิวจากสารอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสียูวี และเพื่อชะลอการเกิดผิวชราจากแสงแดด หรือ ที่เราเรียกว่า Photoaging นั่นเอง

สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ถูกยกขึ้นมากล่าวถึงมากที่สุด เพราะเชื่อว่าช่วยกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นได้ เช่น

Vitamin C (L-ascorbic acid)

ตัวนี้สลายง่ายที่ค่า pH ปกติที่ผิวหนังเรา จึงเห็นมักผสมกับตัวอื่นเพื่อให้คงตัวมากขึ้น เช่น Vitamin E, Ferulic acid
โดย vitamin C จะเป็น cofactor ในกระบวนการ collagen synthesis และลดการสะสมของ elastin ได้

Vitamin E

มีข้อมูลว่าช่วยลด lipid peroxidation, photoaging, immunosuppression และ photocarcinogenesis

Retinoids

ช่วยยับยั้ง activation of protein-1 & MMP-1 expression ผลคือ กระตุ้นการสร้างคอลาเจน ผิวหนาขึ้นและแข็งแรงขึ้น แต่เนื่องจากความไม่คงตัวของกลุ่มนี้ ทำให้สลายได้ง่ายเมื่อถูกรังสี UV, VL จึงไม่ค่อยเห็นผสมในครีมกันแดดบ่อยนัก อาจเห็นพวกที่รูปแบบค่อนข้างเสถียรกว่า retinoids เช่น Retinyl
palmitate ที่มักผสมในสกินแคร์ต่าง ๆ โดยมักทำเป็น liposome เพื่อให้คงตัวมากขึ้น แต่ประสิทธิภาพก็อาจด้อยกว่า tretinoin or retinol
ส่วนประเด็น retinyl palmitate เมื่อถูกยูวีแล้วจะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมาหรือไม่ ยังไม่ชัดเจน อันนี้ยังต้องรอข้อมูลเพิ่มเติมต่อไป

Polyphenols

พบใน botanicals เช่น tea leaves, grape seeds (Vitis vinifera), blueberries, almond seeds, and pomegranate extract พวกนี้จะมีสารที่เรียกว่า epigallocatechin-3-gallate ซึ่งช่วยลด MMP-1 ตัวทำร้ายคอลาเจน และตัวมันเองสามารถเพิ่ม SPF ได้ร่วมด้วยนิดหน่อย

Soy extracts

มีข้อมูลว่า soybean-derived serine protease inhibitors ช่วยลดรอยดำ และริ้วรอยเล็ก ๆ ตื้น ๆ ที่ผิวได้

Melatonin

ช่วยปกป้องเซลล์ผิว keratinocytes, melanocytes, and fibroblasts และป้องกัน UV-induced photoaging ได้

Algae extract

บางชนิดนอกจากพบว่าดูดซับรังสียูวีได้ ยังช่วยกำจัดสารอนุมูลอิสระที่ผิวได้ พบว่า Mycosporine-like amino
acids (MAAs) จาก algae ยังเป็น potent UV filters โดย maximum absorption 310 และ 362 nm ทีเดียว นอกจากนั้นยังอาจได้ยินชื่อ เช่น Porphyra umbilicalis, Corallina pilulifera methanol extract แต่กลุ่มนี้ยังอาจมีประเด็นถกเถียงเรื่อง eco-friendly photoprotection คงต้องติดตามต่อไปในอนาคต

Polypodium leucotomos extract (PLE)

ตัวนี้มีข้อมูลทั้งรูปแบบทา และ กิน ว่าช่วยได้ทั้ง antioxidative, chemoprotective, immunomodulatory,
and anti-inflammatory effects เรื่องสารตัวนี้เคยทำคลิป ลองไปดูเพิ่มเติมได้ค่ะ
https://youtu.be/DCOx4HMN_a4

ตัวอื่นที่มีข้อมูลว่าช่วยลด MMP-1 expression ได้ ก็เช่น
Caffeine
Echinacea pallida extract
Gorgonian extract
Chamomile essential oil

นอกจาก oxidants แล้วก็ยังมี Photolyases ที่ถูกนำมาผสมครีมกันแดด เพราะสามารถช่วย DNR repair ได้ ส่งผลให้มี photoprotective effects และ anti-oxidants ได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม การผสมสารเหล่านี้เข้าในครีมกันแดดแต่ละแบรนด์นั้นไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพออกมาดีเท่ากันเสมอไป จะดูแค่ว่า..มีหรือไม่มีชื่อเหล่านี้ในส่วนผสมอาจไม่พอ เพราะยังคงต้องดูในรายละเอียดเรื่อง ความเข้มข้นที่มากพอ, ความสามารถในการซึมผ่านผิวชั้น Stratum corneum และ ความคงตัวของครีมกันแดดตัวนั้นในที่สุดด้วยเช่นกัน

สุดท้ายแล้ว ก็อยากให้ทาครีมกันแดดกันสม่ำเสมอ เพราะนอกจากจะช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายด้วยรังสียูวี ป้องกันมะเร็งผิวหนังแล้ว ยังช่วยเรื่องชะลอผิวเสื่อมชราด้วยนะคะ..สภาพ

หวังว่าจะชอบบทความนี้กันนะคะ ถ้าชอบก็สามารถไลค์ เลิฟ แชร์ เป็นกำลังใจให้ด้วยน๊าค๊า


Reference
Guan, L.L., Lim, H.W. & Mohammad, T.F. Sunscreens and Photoaging: A Review of Current Literature. Am J Clin Dermatol 22, 819–828 (2021). https://doi.org/10.1007/s40257-021-00632-5

รวมลิ้งค์ https://linktr.ee/drwarayuwadee

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

How to กินช๊อคโกแลตเพื่อผิวสวย & หน้าเด็ก

รู้ไหมว่า .. หมอชอบทานดาร์คช๊อคโกแลตมาก ๆ และวันนี้หมอมีวิธีการเลือกซื้อช๊อคโกแลตมาแบ่งปัน เพราะการทานช๊อคโกแลตอย่างถูกวิธี จะทำให้เราได้รับ “ฟลาโวนอยด์” และ “โพลีฟีนอลหลายชนิด” ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้อย่างเต็มที่ ผลก็คือ..

1. ผิวสวย ชะลอการเกิดริ้วรอย หุ่นดีขึ้น ผมสวย
รู้ไหมว่า ดาร์คช๊อคโกแลตยังถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มแอนตี้ออกซิแด้นที่สูงกว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ถึง 8 เท่านะ..จะบอกให้‼️
2. อารมณ์ดี คลายเครียด
พบว่าหลังทานในปริมาณปกติไปประมาณ 2 สัปดาห์ ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ลดการซึมเศร้า เพราะในช๊อคโกแลตมีสาร MAO inhibitors ออกฤทธิ์คล้ายยาต้านเศร้านั่นเอง
3. ความจำดีขึ้น
เพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำของสมองได้ 2-3 ชั่วโมง
4. ช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
ลดความดันโลหิต (SBP 2.8-4.7 mmHg, DBP 1.9-2.8 mmHg)
5. ช่วยลดคลอเรสเตอรอลได้
หลังกินดาร์คช๊อคโกแลตที่มีโกโก้ 70% ปริมาณ 100 กรัม/วัน นาน 1 สัปดาห์ พบว่า ลด LDL 6% เพิ่ม HDL 8%
6. บำรุงสายตา

แต่ระวัง..!! ถ้าหากเลือกผิด สิ่งที่ได้จะเป็นน้ำตาลและไขมัน ซึ่งส่งผลเสียมากกว่า

ถ้าเรียงลำดับปริมาณฟลาโวนอยด์จากมากไปน้อย จะได้เป็น

1. Cacao คาเคา —> ไม่ค่อยหวาน แต่มีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะที่สุด !!!

2. Cocoa โกโก้ —> หวานนิดหน่อย มีสารต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่าคาเคา โดยที่มากน้อยเท่าไหร่ขึ้นกับว่า..มีปริมาณโกโก้ผสมอยู่เท่าใด

🍫 Dark chocolate มีผงโกโก้ผสมอยู่มากกว่า 70% จึงเป็นช๊อคโกแลตที่มีมีสารฟลาโวนอยด์มากสุด

🍫 Milk chocolate มีผงโกโก้น้อยกว่า 70% จึงมีสารฟลาโวนอยด์น้อยลง และมีการเพิ่มนมและน้ำตาล

🍫 White chocolate ไม่มีผงโกโก้ ไม่มีฟลาโวนอยด์ มีเนยโกโก้ (ไขมัน) นม น้ำตาล เพิ่มเข้ามา

ช๊อคโกแลตข้างต้น หากมีการผ่านกระบวนการต่าง ๆ เช่น อบ หมัก ทำให้เป็นด่างมากขึ้น จะทำให้ขมน้อยลง รสนุ่มขึ้น ทานง่ายขึ้น —> แต่..ฟลาโวนอยด์..จะลดลงไป 60-90% เลยนะจ๊ะ‼️ พวกนี้จะระบุไว้ว่า
🍫 Dutched
🍫 Process with Alkali
เล่าแบบนี้อาจจะนึกยังไม่ออก เหล่านี้ก็คือพวกเครื่องดื่มโกโก้ปรุงสำเร็จพร้อมดื่ม เช่น โอวัลติน ไมโล เป็นต้น

European Food Safety Authority แนะนำปริมาณฟลาโวนอยด์ที่รับประทานในโกโก้หรือช๊อคโกแลต คือ 200 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับผลโกโก้ประมาณ 2.5 กรัม หรือ ดาร์คช๊อคโกแลต 2 ชิ้นเล็ก

สรุปว่า ถ้าอยากกินช๊อคโกแลตให้ดีต่อสุขภาพก็ควรเลือกแบบนี้ค่ะ

• ชนิดผง —> ผงคาเคา หรือ ผงโกโก้แบบปรุงแต่งน้อยที่สุด เลี่ยงพวกผสมพร้อมชงดื่มเพราะมักผสมน้ำตาล แล้วเราค่อยมาปรุงรสเองนิดหน่อยก็พอ
• ช๊อคโกแลตแท่ง —> ดาร์คช๊อคโกแลตแบบที่มี %โกโก้สูง ๆ น้ำตาลน้อย ๆ และกินวันละ 2-3 ชิ้นเล็ก ๆ พอ
• กินตอนเช้า ช่วยให้สดชื่นอารมณ์ดี กระปรี้กระเปร่าเพิ่มขึ้นได้ 2-3 ชั่วโมง
• ช๊อคโกแลตที่ผสมถั่วและผลไม้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มเติมส่วนของรสชาติ อันนี้แล้วแต่คนชอบ

ข้อควรระวัง

❌ ช๊อคโกแลต อาจทำให้กระตุ้นไมเกรนได้ในบางคน
❌ ไม่แนะนำในคนเป็นโรคไต เพราะช๊อคโกแลตมีกรดออกซาลิคสูง เพิ่มความเสี่ยงเกิดนิ่วได้

ส่วนตัวจะกินตัวที่หาซื้อได้ไม่ยากเกินไป และดูแล้วมีประโยชน์ต่อสุขภาพ อารมณ์ดี ผิวพรรณอ่อนเยาว์ ตัวนี้เลย Lindt เป็น Excellent Cacao 100% ไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย

ใครอยากลองกินตามก็ได้ไม่ว่ากันค่ะ กินแล้วจะหน้าเด็กไหมต้องไปลองเองนะจ๊ะ แต่ข้อมูลสนับสนุนเบอร์นี้ ส่วนตัวคิดว่าไม่กินไม่ได้แล้ว

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
No sponsored content

Product mentioned
Lindt Thailand

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Plant-based Complex Anti-aging Skincare 🌳

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสเข้าร่วมงานอีเว้นท์ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกลุ่มที่ช่วยชะลอวัยและฟื้นฟูผิวที่ได้จาก Botanical Bud Negtar ก็เลยได้มีโอกาสกลับไปทบทวนและอัพเดทเพิ่มเติม และมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับ Plant-based Complex Anti-aging Skincare และ เรื่องของ Bud Nectar ในโพสนี้ 5 ข้อสรุปสั้น ๆ ลองอ่านดูกัน…

ก่อนอื่นต้องขอบคุณทางแบรนด์อีฟโรเช่ Yves Rocher ที่เชิญร่วมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Yves Rocher Anti-age Global Super Serum ในครั้งนี้ค่ะ

1.🌿 ปัจจุบันมีเทรนของคอสเมติกส์กลุ่มฟื้นฟูผิว ที่ทำมาจาก Plant-based complex มากขึ้น อันที่จริงแล้วข้อมูลวิจัยเกี่ยวกับ Plant stem cells มีมานานพอสมควร ข้อมูลส่วนใหญ่ไม่ใช้สเต็มเซลล์ที่มีชีวิตใส่ลงในเครื่องสำอางโดยตรง เพราะจะไม่สามารถแบ่งตัวและมีชีวิตได้ ที่สำคัญอาจปนเปื้อนได้ แต่มักจะใช้การเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ที่ได้จากพืชในหลอดทดลอง แล้วนำสารสกัดที่ได้มาผสมในเครื่องสำอางอีกที ซึ่งก็พบว่าได้ผลเช่นกัน

🌟 กลุ่ม Plants ที่มีข้อมูลในเรื่องผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ยกตัวอย่างเช่น

🛑 Mirabilis jalapa
🛑 Indian gooseberry fruit (Phyllanthus emblica)
🛑 Grapes (Vitis vinifera)
🛑 Lilacs (Syringa vulgaris)
🛑 Swiss apples (Uttwiler spatlauber)

และอื่น ๆ อีกมากมาย

2.🌿 กลไลที่เคลมว่า Plant-based Complex ส่งผลด้าน Anti-aging effect ต่อผิวหนัง นั้นเป็นเพราะมีองค์ประกอบของ Anti-oxidants และ Anti-inflammatory compounds อยู่มาก จึงทำให้มีฤทธิ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ขึ้นกับชนิดของ Plants

ได้แก่

  • Photoprotective effects

ช่วยปกป้องและลดการทำร้ายผิวจากอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสียูวี พูดง่าย ๆ ว่าเป็น Antioxidative properties อย่างหนึ่งที่ช่วยป้องกันการทำลายคอลลาเจนจากสารอนุมูลอิสระ

  • Anti-inflammatory effects

ช่วยลดการอักเสบของผิวหลังจากมีปัจจัยต่าง ๆ มากระตุ้นการอักเสบผิว

  • Anti-Elastase, MMP and Hyaluronidase Properties

ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่มาทำลายโครงสร้างผิว เช่น อิลาสติน คอลลาเจน ไฮยารูรอน

  • Anti-wrinkle effects

ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ต่าง ๆ (Improved cell renewal) เช่น ไฟโบรบลาสต์ จึงส่งเสริมการสร้าง collagen, elastin, hyaluronic acid มากขึ้น

🌟 ดังนั้น โดยรวมจึงส่งผลให้ผิวแลดูมีสุขภาพดี เรียบเนียน และริ้วรอยเล็ก ๆ ดูลดลง

3.🌿 Botanical Bud Nectar คือ ส่วนของน้ำหวานเข้มข้นที่ได้จากหน่อยอดอ่อนของดอก Syringa (ซิริงกา) หรือ Lilac (ไลแลค) [ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Syringa vulgaris เป็นพืชดอกที่อยู่ในตระกูลมะกอก (Oleaceae) มีต้นไม้ร่วมตระกูลคือ มะลิ]

🌟 ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้มีการแตกหน่อใหม่ได้อย่างไม่สิ้นสุด ดังนั้น ดอกไวท์ไลแลค จึงสามารถเจริญเติบโตแม้ในสภาพอากาศที่เลวร้ายที่สุด เพราะสามารถกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ด้วยตัวเองได้เรื่อย ๆ ตลอดเวลา

🌟 จึงเป็นที่มาของการนำสารสกัด Bud Nectar มาเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ที่ใช้บำรุงผิว เพื่อหวังผลในแง่ Anti aging effect ‼️

4.🌿 วิธีการสกัดเอา Bud Nectar ออกมาเพื่อผสมในสกินแคร์ เรียกว่า Gemmotherapy (เจมโมเทอราปี) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง (นวัตกรรมเฉพาะของอีฟ โรเช่) โดยมีขั้นตอน ดังนี้

• สกัดเซลล์ตัวอย่างจากหน่อยอดอ่อนของดอกไวท์ไลแลคเพียงครั้งเดียว

• คัดเลือกเซลล์ที่สมบูรณ์

• กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ (ในหลอดทดลอง) จากเซลล์ที่คัดเลือกมา

🌟 สุดท้ายแล้วจะได้เป็นสิ่งที่เรียกว่า Botanical Bud Nectar เพื่อนำไปผสมในสกินแคร์

🌟 ยกตัวอย่างสกินแคร์กลุ่มฟื้นฟูผิวที่มี Bud Nectar ที่ได้มาตรฐาน เช่น Yves Rocher Anti-age Global Super Serum ซึ่งตัวนี้จะมีส่วนผสมของ Oil Booster (Jojoba oil, Grapeseed oil และ Squalene) ซึ่งมีการทดลองพบว่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการซึมของ Bud Nectar และกระจายสู่ผิวชั้นลึกได้ดียิ่งขึ้น

5.🌿 เรื่องของ Natural Oils เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจ ซึ่งมีหลายหลายชนิดและก็มีคุณสมบัติต่างกันออกไป ยกตัวอย่างที่นิยมผสมในสกินแคร์ เช่น

  • Grape Seed Oil เป็นตัวที่มีไขมันดี Linoleic acid มากที่สุดในบรรดา Natural Oils ทั้งหมด ซึ่งจะช่วยซ่อมแซมกำแพงผิว ลดการอักเสบ และยังมี Vitamin E, Phenolic compound ซึ่งช่วยเรื่อง Antioxidation ได้อย่างดี และยังมีข้อมูลว่าช่วยลดการระคายเคืองจาก sodium lauryl sulfate ได้อีกด้วย
  • Jojoba Oil เป็นตัวที่คล้ายคลึงกับน้ำมันผิวตามธรรมชาติมากที่สุด นอกจากจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ ซ่อมแซมกำแพงผิวแล้ว ยังจัดเป็น Potent antioxidants ที่ช่วยเรื่องฟื้นฟูผิวได้ดีมาก อีกทั้งยังมีข้อมูลในการนำมาผสมในสกินแคร์เพื่อเพิ่มการดูดซึมให้ดียิ่งขึ้นได้

🌟 ดังนั้น จึงมักเห็นออยล์ที่ยกตัวอย่างข้างต้น ถูกนำมาผสมในสกินแคร์กลุ่มที่ช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิว เพราะนอกจากคุณสมบัติข้างต้นแล้ว ยังมีขนาดโมเลกุลเล็ก ดูดซึมได้ดี ไม่ทิ้งความมันที่ผิว ไม่ค่อยเกิดการอุดตันรูขุมขน

🪴🪴🪴 ปัจจุบันแนวโน้มของการใช้สกินแคร์กลุ่มฟื้นฟูผิว เพื่อการบำรุงผิวมีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกลุ่ม Plant Stem cell-based เพราะมีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องของ Anti-oxidant และ Photoprotection ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยชะลอให้ความเสื่อมของผิวเราเกิดขึ้นได้ช้าลง เพื่อผลลัพธ์ในเรื่องของความอ่อนเยาว์อย่างที่หลาย ๆ คนต้องการ

🪴🪴🪴 อย่างไรก็ตาม การใช้สกินแคร์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดูแลผิว เพื่อให้ผิวของเรามีสุขภาพดีและน่ามอง ซึ่งคงต้องทำควบคู่ไปกับวิธีการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การออกกำลังกาย การทานอาหารที่มีประโยชน์ งดสูบบุหรี่ การปกป้องผิวจากแสงแดดร่วมด้วยอย่างถูกวิธี ทั้งนี้เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่า

🪴🪴🪴 แล้วคุณล่ะ .. เริ่มดูแลผิวอย่างถูกวิธีแล้วหรือยัง ไว้ตอนหน้าจะมาเล่าเรื่อง Natural Oils ในสกินแคร์เพิ่มเติมอีก ใครอยากรู้ต้องรอติดตาม ☺️

References:

3 Biotech. 2020 Jul; 10(7): 291.

Am J Clin Dermatol. 2018; 19: 103–117.

Int. J. Mol. Sci. 2018 ;19: 70.

Curr Pharm Biotechnol. 2017; 18(11): 864-876.

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️

Product Mentioned

🌟Yves Rocher Anti-age Global Super Serum🌟

🌳 มีส่วนผสมหลัก คือ สารสกัด Botanical Bud Nectar ซึ่งผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง

มีการทดลองหลังการทา พบว่า

🌳 ค่าการอักเสบที่ผิวชั้นหนังกำพร้า (IL6,8) หลังได้รับรังสี UV ลดลงมากกว่าในผิวที่ทา เมื่อเทียบกับผิวที่ไม่ทา

▫️ พบมี Fibroblast renewal เพิ่มขึ้น 20% หลังการทา 72 ชั่วโมง

▫️ พบว่าการสร้างเมลานิน ลดลง 56%

🌳 เทคโนโลยีเฉพาะที่เรียกว่า N.A.T.( Natural Assimilation Technologies) มีการทดลองพบว่า ช่วยให้ Botanical Bud Nectar สามารถแทรกซึมลงสู่ผิวชั้น Epidermis และ Dermis ได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับ Placebo Formula อื่น

🌳 เนื้อเซรั่มเป็น Biphasic formula คือ

ส่วนน้ำ [Botanical Bud Nectar] +

ส่วนน้ำมัน [Oil Booster] ซึ่งมีการทดลองพบว่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการซึมและกระจายสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น

🌳 ส่วน Oil Booster ประกอบด้วย Jojoba oil, Grapeseed oil และ Squalene ซึ่งคล้ายคลึงกับน้ำมันธรรมชาติในผิว เป็นออยล์โมเลกุลเล็ก ซึมเร็ว ไม่ทิ้งความมัน และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน

🌳 เป็นสกินแคร์กลุ่ม anti-aging ที่สามารถใช้ได้ทุกสภาพผิว

Sponsored Content by Yves Rocher

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.