Tag Archives: สกินแคร์

กำแพงผิวแห้งเสีย..กู้อย่างไรดี

How to Restore Skin Barrier

Skin barrier คือ ส่วนของ Stratum corneum ชั้นนอกสุดของผิว เป็นเสมือนเกราะป้องกันผิวเราไว้ ไม่ให้ผิวถูกรุกรานจากสิ่งแปลกปลอมจากภายนอก รวมทั้งปกป้องไม่ให้ความชุ่มชื้นภายในผิวต้องสูญเสียออกไป

ถ้า Skin barrier เปรียบเสมือนการก่อกำแพงอิฐขึ้นมาแล้วฉาบปูน

กำแพงผิว
กำแพงผิว

✔️ ก้อนอิฐ —> เปรียบกับ เซลล์ผิวหนังที่ถูกเคลือบไว้ด้วยสารให้ความชุ่มชื้นที่ผิวสร้างได้เอง เรียกว่า NMF (Natural Moisturizing Factor) ซึ่งเป็นสารให้ความชุ่มชื้นที่ผิวเราสามารถสร้างได้เอง ช่วยดูดน้ำและความชื้นไว้ที่ผิว ทำให้ผิวอวบอิ่มเต่งตึง
✔️ ปูนฉาบก้อนอิฐไว้ให้แข็งแรง —> เปรียบกับ น้ำมันที่เคลือบผิวอยู่ (Sebum) ซึ่งจะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในผิว ดังนั้นจึงเห็นว่าเป็นข้อได้เปรียบของคนผิวมัน (Oily skin) ผิวจะระคายเคืองน้อยกว่าและเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้น้อยกว่าคนผิวแห้ง (Dry skin)
✔️ ปูนที่ยึดก้อนอิฐไว้ด้วยกัน —> เปรียบกับ ไขมันที่แทรกอยู่ระหว่างเซลล์ผิว (Intercellular lipid) เช่น Ceramide, cholesterol, free fatty acids
จะช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำออกจากเซลล์ผิว
จะเห็นว่ากำแพงผิวที่แข็งแรงนั้นต้องสมบูรณ์ทั้ง 3 อย่างข้างต้นนี้

เมื่อกาลเวลาผ่านไป Aging skin ผิวหนังถูกทำร้ายจากแสงแดดและมลภาวะมาเป็นเวลานาน จะทำให้ผิวมีปริมาณ Ceramide และ Cholesterol ลดลง รวมทั้งยังสร้างใหม่ได้น้อยลงอีกด้วย ส่งผลให้โครงสร้างกำแพงผิวเปลี่ยนแปลง เสียความชุ่มชื้นง่ายมากขึ้น จึงเกิดปัญหาผิวตามมา ได้แก่
• ผิวแห้ง หยาบกร้าน
• ระคายเคืองได้ง่าย
• ริ้วรอยก่อนวัย

นอกจากอายุที่มากขึ้น (Aging Skin) ยังมีภาวะทางผิวหนังที่ทำให้ Ceramide ที่ผิวลดลงมากกว่าคนอื่น เช่น
• ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis)
• สะเก็ดเงิน (Psoriasis)
• ผิวแห้ง (Icthyosis)
• สิว (Acne vulgaris)
ทำให้ กลุ่มคนเหล่านี้มีการสูญเสียน้ำจากผิวได้มากกว่าคนทั่วไป

เมื่ออายุมากขึ้น ผิวจะมีการสร้างของ cytokines หรือโปรตีนที่ใช้ในการสื่อสารระบบอิมมูนลดลง ส่งผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันผิวจะอ่อนแอลง
ดังนั้น หากใครมีผิวหนังอักเสบง่าย แห้ง แดง คัน เรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกให้ต้องเริ่มบำรุงกำแพงผิวให้มากขึ้น

ผิวชั้นบนสุดที่มีค่า pH ประมาณ 4.5-5 จะมีความสมดุลแข็งแรงมากที่สุด แต่เมื่ออายุมากขึ้นค่า pH ที่ผิวจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเหตุให้ความแข็งแรงของกำแพงผิวน้อยลงเรื่อย ๆ
ดังนั้น การปรับสมดุลpH ที่ผิวจึงเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้กำแพงผิวแข็งแรงขึ้นได้

หากใครที่เกิดปัญหาผิวจากกำแพงผิวอ่อนแอ เช่น ผิวแห้ง แดง คัน อักเสบ ระคายเคืองง่าย เป็นสิว มีผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง อาจลองใช้ วิธีฟื้นฟูกำแพงผิวเบื้องต้น ได้ดังนี้ค่ะ

1️⃣ ทาครีมบำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นผิวสม่ำเสมอทุกวัน โดยเน้นส่วนผสมที่ช่วยเสริม Physiological lipids หรือ ไขมันธรรมชาติที่ผิวนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Ceramide 1, 3, 6 และ Cholesterol

ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมดังกล่าว เช่น CeraVe Moisturizing Cream ก็เป็นสกินแคร์ที่มีส่วนผสมพื้นฐานที่เหมาะกับการเสริมกำแพงผิว ได้แก่

  1. Ceramide 1, 3 ,6-II ซึ่งเป็นสารสำคัญที่คล้ายไขมันแทรกผิวตามธรรมชาติในสัดส่วนที่เหมาะสมต่อการเสริมความแข็งแรงของกำแพงผิว
  2. มี Cholesterol ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของกำแพงผิว
  3. มี Glycerin
  4. มี Hyaluronic acid ช่วยลดการสูญเสียน้ำ, เพิ่มความชุ่มชื้นผิวร่วมด้วย

2️⃣ เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีค่า pH เป็นกรดอ่อน ๆ เพื่อให้กำแพงผิวสมดุลและแข็งแรง

3️⃣ เลี่ยงการอาบน้ำร้อน, การใช้สบู่ที่ pH เป็นด่าง

4️⃣ ใช้ Humidifier ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิวในช่วงฤดูหนาวหรือต้องอยู้ในห้องแอร์ประจำ

5️⃣ หากดูแลผิวตามวิธีข้างต้นแล้วยังมีอาการผิวแห้ง อักเสบเรื้อรัง หรือไม่แน่ใจในความผิดปกติที่เป็นอยู่ แนะนำปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังร่วมประเมิน


ใครอยากมีผิวที่แข็งแรง เปล่งปลั่ง แลดูอ่อนกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน ต้องเริ่มต้นเรียนรู้ที่จะก่อสร้างกำแพงผิวของตัวเองให้แข็งแรง ซึ่งเป็นสิ่งพื้นฐาน..ที่สำคัญที่สุดในการดูแลผิวค่ะ


References

Clinics in Dermatology 2019; 37: 336-345.
Yakugaku Zasshi. 2019; 139(12): 1549-1551.
J Clin Aesthet Dermatol. 2016; 9(1): 26-32.
Am J Clin Dermatol. 2005; 6(4): 215-223.
Am J Clin Dermatol 2003; 4 (2): 107-129.
Arch Dermatol Res. 1995; 282: 214-218.


Product mentioned

⭐️ CeraVe Moisturizing Cream
✔️ เป็น Oil-free moisturizer for restore skin barrier ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิวได้นานถึง 24 hrs
✔️ มี Ceramide 1, 3, 6-II และ Cholesterol, Glycerin ที่คล้ายไขมันแทรกผิวตามธรรมชาติ (Natural lipids) ช่วยลดการสูญเสียน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นผิว
✔️ MVE (Multivesicular Emultion) technology นวัตกรรมเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของเซราวี ด้วยกลไก “time-released” ค่อย ๆ ปล่อยสารสำคัญออกจากแคปซูลหลาย ๆ ชั้นให้แทรกซึมลงสู่แต่ละชั้นผิวได้ตลอด 24 ชั่วโมง
✔️ Hypoallergenic, non-comedogenic, เนื้อครีมไม่เหนียว เกลี้ยง่าย นุ่ม
✔️ ไม่มีน้ำหอม ไม่มีพาราเบน ไม่มีแอลกอฮอล์
✔️ เหมาะสำหรับผิวแห้งถึงแห้งมาก ผิวที่อักเสบ ผิวที่ระคายเคืองง่าย หรือผู้ที่ต้องการเสริมกำแพงผิวเพื่อลดการระคายเคืองจากการใช้ยารักษาสิว

Disclaimer: Sponsored Content by CeraVe


บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Basic Skincare Routine สำหรับผู้เริ่มต้นดูแลผิว

Basic Skincare Routine
หากไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี เริ่มจากตรงนี้เลยค่ะ ‼️

สูตรนี้เหมาะสำหรับ

• กลุ่มช่วงอายุ 20-30 ปี
• คนที่เริ่มหันมาใส่ใจดูแลผิวหน้า แต่ไม่รู้จะเลือกใช้อะไรดี
• คนที่ผิวหน้าไม่ค่อยมีปัญหาอะไรที่ต้องแก้ไขพิเศษ

สิ่งที่ควรเน้นในวัยนี้

• บำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นด้วย Moisturizer
• ปกป้องผิวจากแสงแดดด้วย Sunscreen
• ผลัดเซลล์ผิวด้วย Exfoliants

1. Sunscreen

ครีมกันแดดควรทาทุกเช้า หากเป็นกิจวัตรประจำวันทั่วไป แนะนำให้ใช้ที่ป้องกันได้ทั้ง UVA, UVB อย่างน้อย SPF30 หรือหากเป็น physical sunscreen ควรอย่างน้อย 5% zinc oxide

2. Moisturizer

ช่วยบำรุงผิว เพิ่มความชุ่มชื้นผิว และช่วยให้กระบวนการต่าง ๆ ที่ผิวเป็นไปอย่างสมดุล

ผิวมันหรือผิวผสม
แนะนำกลุ่ม Humectant
เช่น Glycerin, Hyaluronic acid, Lactic, Urea เป็นต้น

ผิวแห้ง
อาจใช้กลุ่ม Emollient
เช่น Ceramide, Cholesteral, Squalene, Plant oil
หรือใช้กลุ่ม Humectant ข้างต้น ร่วมกับ Occlusive
เช่น Dimethicone, Petroleum jelly, Mineral oil, Bee wax เป็นต้น

3. Exfoliants

ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว ช่วยปรับสภาพผิวให้สมบูรณ์ ผลัดเอาเซลล์ผิวชั้นบนที่ตายแล้วให้หลุดออกไป โดยไม่ได้ทำให้ผิวหนังบางลงอย่างที่หลายคนกังวลใจ
ถ้าหากใครได้ฟังคาบที่หมอได้สอนเรื่อง Antiaging Skincare คงจำได้ว่ากระบวนการผลัดเซลล์ผิวเราจะเริ่มช้าลงตั้งแต่อายุประมาณ 20 ปี ดังนั้นจึงแนะนำว่าควรเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ร่วมด้วย โดยอาจใช้เพียงแค่ 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ก็เพียงพอค่ะ
กลุ่มนี้ เช่น alpha hydroxy acid เป็นต้น

4. Cleanser

การล้างหน้าให้สะอาดเป็นสิ่งจำเป็น และเป็นขั้นตอนแรกของการเริ่มดูแลผิวในแต่ละวันค่ะ หากล้างไม่สะอาดก็อาจเกิดการอุดตันของรูขุมขนตามมา และทำให้ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่จะทาลงไปนั้นลดลงได้ แนะนำให้ทุกคนหาผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับสภาพผิวตัวเองไว้เลยค่ะ

ส่วนคนที่อายุ 20-30 ปี และเป็นสิวก็ใช้ step นี้ได้ แต่เลือกกลุ่ม Moisturizer เป็นสำหรับกลุ่มสิวแทน ลองดูในโพสก่อนนี้เพิ่มเติมได้ค่ะ

สุภาพบุรุษทั้งหลายที่ไม่ชอบทาครีม ทาเท่านี้ก่อนก็ได้ค่ะ เชื่อว่าถ้าผิวเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีแล้วจะอยากดูแลผิวมากขึ้นไปอีกแน่เลย

ใครผ่าน step นี้แล้ว มารอฟังขั้นตอนต่อไปจะเพิ่มอะไรยังไงดี

เป็นอย่างไรบ้างคะ ใครชอบบทความ Basic Skincare Routine นี้บ้าง
อยากให้ต่อไปแนะนำเป็นสูตรสำหรับใครดีคะ คอมเม้นท์มาได้เลยนะคะ

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

7 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ Ketoconazole Shampoo

Ketoconazole Shampoo ใช้รักษาผมบางจากพันธุกรรมและฮอร์โมนได้จริงหรือ ?

เป็นอีกคำถามที่หลายคนอยากรู้คำตอบ
ก่อนเข้าประเด็นเรื่องรักษาผมบาง จะขอเล่าให้ฟังก่อนว่า Ketoconazole shampoo สามารถใช้รักษาโรคอะไรได้บ้าง

7 ข้อน่ารู้ของ Ketoconazole Shampoo

1. Ketoconazole ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อราโดยการยับยั้งการสร้าง ergosterol ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในผนังเซลล์ของตัวเชื้อราหรือยีสต์ เมื่อการสร้างผนังเซลล์ผิดปกติไป จึงส่งผลให้เชื้อไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้

ดังนั้น จึงเป็นกลุ่มยาที่มีข้อบ่งชี้ในการรักษาภาวะติดเชื้อดังกล่าวเป็นหลัก

2. กรณีรังแคหรือหนังศีรษะอักเสบเซบเดิร์ม นอกจากเกิดจากปัจจัยเรื่องการอักเสบแล้ว ยังพบว่าคนกลุ่มนี้มีจำนวนเชื้อยีสต์ Malazzesia ที่บริเวณหนังศีรษะเพิ่มขึ้นกว่าคนทั่วไป

ดังนั้น จึงมีการนำ ketoconazole shampoo มาใช้ในการรักษาและป้องกันรังแคร่วมด้วย เพราะสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ และยังมีกลไกช่วยลดการอักเสบได้ดี

3. เมื่อเปรียบเทียบการรักษาภาวะรังแคหรือหนังศีรษะอักเสบเซบเดิร์มด้วย Ketoconazole shampoo, Selenium sulfide shampoo ทั้งสองตัวช่วยลดปริมาณยีสต์และลดอาการคันได้ดีกว่าแชมพูทั่วไป โดยพบว่า

• ประสิทธิภาพการลดเชื้อต่างกันเล็กน้อย : Ketoconazole shampoo > Selenium sulfide shampoo
• ประสิทธิภาพการขจัดขุยรังแค : Ketoconazole shampoo > Selenium sulfide shampoo
• ประสิทธิภาพป้องกันกลับเป็นซ้ำ : Ketoconazole shampoo > Zinc pyrithione
• ประสิทธิภาพการลดอาการคันไม่ต่างกันทั้งสามชนิด : Ketoconazole shampoo, Zinc pyrithione, Selenium sulfide
ดังนั้น สามารถพิจารณาเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม

4. กรณีเกลื้อน พบว่าเชื้อก่อโรคส่วนใหญ่เป็นเชื้อ Pityrosporum ที่อยู่ตามรูขุมขนของเรา และกินไขมันเป็นอาหาร โดยมักทำให้ผู้ป่วยมีผื่นขุยเป็นวงสีขาว, แดงหรือน้ำตาลขึ้นที่บริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ เช่น หน้าอก หลัง โดยเฉพาะเวลาที่เหงื่อออกเยอะ ผิวมัน หลังเล่นกีฬา หรืออยู่ที่ร้อนอบอ้าว

ดังนั้น Ketoconazole shampoo สามารถใช้ในภาวะนี้ได้เช่นกัน และนอกจากการรักษาเกลื้อนด้วยยากิน ยาทา แชมพูฟอกแล้ว ยังต้องรักษาสุขอนามัยร่วมด้วย อย่าปล่อยเหงื่อหมักหมม หลังออกกำลังกายควรอาบน้ำให้สะอาด ไม่ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น

5. กรณีผมบางจากพันธุกรรมและฮอร์โมน ก็มีบางงานวิจัยที่อธิบายไว้ว่า
• 2% ketoconazole shampoo ช่วยลดการอักเสบบริเวณหนังศีรษะ และลดการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศชายบริเวณรากผม #ทำให้การหลุดร่วงของเส้นผมน้อยลงและรากผมแข็งแรงมากขึ้น
• 2% ketoconazole shampoo (ในงานวิจัยใช้ Nizoral shampoo) พบว่าเส้นผมมีความหนาและมีขนาดใหญ่ขึ้น จากตัดชิ้นเนื้อมาดูหลังการใช้สระต่อเนื่องเกิน 1-2 ปีขึ้นไป

ดังนั้น จึงอาจเห็นมีการใช้แบบ Off-label use เป็นการรักษาเสริมในผู้ที่มีภาวะผมบางจากพันธุกรรมและฮอร์โมน เพิ่มเติมจากการรักษาด้วยวิธีมาตรฐาน และการเห็นผลอาจต้องใช้เวลา และต้องรอดูข้อมูลเพิ่มเติมในอนาคตต่อไป

6. กรณีหนังศีรษะมัน มีงานวิจัยพบว่า ketoconazole shampoo สามารถออกฤทธิ์ลดการสร้าง sebum ที่หนังศีรษะได้ โดยควบคุมความมันได้หลังการใช้ประมาณ 36 ชั่วโมงจากการวัดด้วยเครื่องมือทางการวิจัย

ดังนั้น อาจใช้สระทุก 2-3 วัน เพื่อช่วยลดความมันบนหนังศีรษะได้

7. ยังไม่มีการศึกษาความปลอดภัยในการใช้ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร, ควรระวังการใช้ในคนที่แพ้ยาที่เป็นส่วนประกอบ และระวังเข้าตาอาจระคายเคืองได้

Tips

เคล็ดลับการใช้ ketoconazole shampoo ในโรคต่าง ๆ โดยใช้เป็นตัวเสริม ร่วมกับการรักษาโรคเหล่านี้ด้วยวิธีมาตรฐาน

กรณีรังแคหรือหนังศีรษะอักเสบเซบเดิร์ม

▫️ใช้แชมพูประมาณ 5 ml ผสมน้ำและสระฟอกบริเวณที่เป็นทิ้งไว้ 3-5 นาที ให้ยาออกฤทธิ์และล้างออก
▫️ช่วงโรคกำเริบ ควรสระ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ นานประมาณ 2-4 สัปดาห์ และหากโรคสงบแล้วแนะนำใช้ 1 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อป้องกัน
▫️ถ้าหลังสระแล้วผมแห้งหรือไม่ชอบกลิ่น อาจใช้ครีมนวดผมเพิ่มเติมบริเวณปลายผมได้

กรณีรักษาเกลื้อน

▫️ ให้อาบน้ำฟอกตัวด้วยสบู่ตามปกติ เมื่อเสร็จแล้วล้างสบู่แต่อย่าเพิ่งเช็ดน้ำที่ติดบนผิวหนังออก จากนั้นใช้แชมพูลูบไปทั่วบริเวณที่เป็น ทิ้งไว้ 3-5 นาที แล้วจึงอาบน้ำล้างแชมพูออก
▫️ การรักษาควรทำทุกวัน ร่วมกับกินยาทายารักษามาตรฐาน
▫️ ไม่ควรฟอกตัวทิ้งไว้นานเกินไป และผสมน้ำเจือจางเสมอป้องกันการระคายเคืองผิว

กรณีหนังศีรษะและผมมัน

▫️ใช้แชมพูประมาณ 5 ml ผสมน้ำและสระฟอกบริเวณที่เป็นทิ้งไว้ 3-5 นาที ให้ยาออกฤทธิ์และล้างออก
▫️ความถี่ของการใช้ 1-3 วันต่อครั้ง ขึ้นกับความมันของแต่ละคน

กรณีผมบางจากพันธุกรรมและฮอร์โมน

▫️ยังไม่มีแนวทางชัดเจน และการเห็นผลต้องใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน
▫️ข้อมูลจากงานวิจัย ใช้สระผม 2-4 ครั้งต่อสัปดาห์ นาน 1-2 ปี ขึ้นกับงานวิจัย

ในท้องตลาดมีแชมพูหลายยี่ห้อ อาจลองเลือกตามความพึงพอใจ แนะนำให้ความเข้มข้นประมาณ 2% และหากเป็นรูปแบบ micronized form ก็สามารถเพิ่มการดูดซึมและออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น เท่าที่ทราบก็จะเป็นตัว Nizoral shampoo ซึ่งเป็นตัวออริจินอลที่หลายคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์และช่วยให้ทุกคนรู้จัก ketoconazole shampoo มากขึ้น สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตัวเองได้ดีขึ้น และหากไม่แน่ใจว่าโรคที่เป็นอยู่นั้นสามารถใช้แชมพูตัวนี้ได้หรือไม่ แนะนำปรึกษาแพทย์เฉพาะทางร่วมประเมิน

ใครเคยใช้บ้างมั้ยคะ

Reference
Int J of Woman’s Dermatol. 2018; 4: 203-211.
J Mycol Med. 2018; 28(4): 590–593.
Int. J. Cosmetic Science 1997; 19: 1-7.
Journal of Dermatological Treatment 1990; 1: 4, 177-179.
Dermatology. 198; 196(4): 474-7.

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

เช็คลิสต์เดอร์โมคอสเมติกส์ที่มี BPO ‼️

กลุ่มนี้จะช่วยทั้งเรื่องสิวอุดตันและสิวอักเสบค่ะ
• บางคนตั้งใจซื้อมาใช้ แต่ใช้ยังไม่ถูกวิธี
• บางคนซื้อมาเพราะมีคนบอก แต่ไม่รู้ว่าส่วนประกอบคืออะไร จึงเกิดผลข้างเคียง

เรามาดูกันว่ามีผลิตภัณฑ์อะไรบ้างที่มีส่วนผสมของสารตัวนี้

1. กลุ่มล้างหน้า

กลุ่มนี้ใช้ล้างหน้า แต่ต้องระวังเพราะอาจก่อนให้เกิดการระคายเคืองบริเวณผิวที่บอบบางได้ เช่น รอบตา รอบปาก ข้างจมูก
ถ้าใครผิวบอบบางแพ้ง่าย หมอแนะนำว่าควรข้ามกลุ่มนี้ไป แนะนำให้ไปใช้แบบทาบางบริเวณ หรือกลุ่มยาที่ทาแล้วล้างออกจะลดผลข้างเคียงได้ดีกว่าค่ะ

✔️ Neutrogena Rapid Clear Stubborn Acne Cleanser
เป็น 10% BPO และมี Laureth-4, BHT, Menthol ทั้งหมดนี้ค่อนข้างระคายเคือง ไม่แนะนำในคนผิวแพ้หรือระคายเคืองง่าย ระวังผิวรอบดวงตา
✔️ Proactive Skin Renewing cleanser
เป็น water-soluble solution 2.5% BPO
มี scrub particles เม็ดเล็ก ๆ , glycolic และ fragrance บางคนอาจระคายเคืองจากเม็ดบีด ควรใช้ด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะหากมีสิวอักเสบอยู่ อาจทำให้แย่ลงได้
✔️ Benzac Wash 5% Benzoyl Peroxide
✔️ PanOxyl Benzoyl Peroxide 10% Acne Foaming Face Wash
ไม่มี alcohols, silicones, fragrances
มี sulfates, parabens and polyethylene glycol (PEG)
มี cetearyl alcohol, mineral oil (Comedogenic rating 2) ล้างยาก ก่อสิวได้
✔️ Humane Benzoyl Peroxide 10% Acne Wash
ไม่มี alcohols, parabens, silicones, polyethylene glycol (PEG), synthetic fragrances
✔️ OXY Sensitive Face Wash With 5% Benzoyl Peroxide
ไม่มี silicones, synthetic fragrances
มี alcohol, parabens, polyethylene glycol (PEG)
มี butylene glycol (Comedogenic rating 1)
มี cetearyl alcohol (Comedogenic rating 2)
✔️ Clean & Clear Continuous Control Acne Cleanser
เป็น 10%BPO มี menthol อาจระคายเคืองบางคน

2. กลุ่มยาที่แนะนำให้ใช้ภายใต้การดูแลแพทย์ผิวหนัง

ปล. ยาบางตัวไม่ผลิตแล้ว

• แบบ Water-based
ระคายเคืองน้อยกว่า เหมาะทุกสภาพผิว
✔️ Benzac (Original)
✔️ AkneDerm
✔️ Enzolid
✔️ Brevoxyl

• แบบ Alcohol-based
ระคายเคืองมากกว่า แต่ซึมสู่ผิวออกฤทธิ์ดีกว่า ไม่เหมาะกับผิวแห้งหรือแพ้แอลกอฮอล์
✔️ Panoxyl

3. กลุ่มเดอโมคอสเมติกส์แก้ปัญหาสิว

กลุ่มนี้หาซื้อได้ตามร้านยาหรือคลินิก และควรใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากระคายเคืองได้ง่าย ลองเลือกใช้ความเข้มข้นต่ำ ๆ ก่อน ทาบางบริเวณ แล้วค่อยเพิ่มบริเวณและความเข้มข้น
และเลือกให้ดีว่ามีส่วนประกอบอื่นที่มีตัวเองมีการแพ้เป็นการส่วนตัวหรือไม่ค่ะ

✔️ Proactive Repairing treatment
เป็น 2.5% BPO lotion มี anti irritation ค่อนข้างจะระคายเคืองน้อย
มี fragrance, paraben, silicone
✔️ Paula’s Choice CLEAR Regular Strength Skin Clearing Treatment
✔️ Paula’s Choice Extra Strength Daily Skin Clearing Treatment With 5% Benzoyl Peroxide
ไม่มี alcohols, parabens, silicones, polyethylene glycol (PEG), synthetic fragrances
มี Hexylene glycol (Comedogenic rating 2)
มี Laureth-4 (Comedogenic rating 5)
✔️ PCA Skin Acne cream tea tree oil and lactic acid
✔️ Obagi CLENZIderm M.D. Therapeutic Lotion
มี 5%BPO
✔️ Clinique Acne Solutions All-Over Clearing Treatment
มี 2.5% BPO lotion เนื้อบางเบา

4. กลุ่มแต้มเฉพาะจุด

ถ้าใครไม่เคยใช้ BPO มาก่อน และกลัวมีปัญหาหรือระคายเคือง อาจลองเริ่มจากกลุ่มนี้ แต้มเฉพาะจุดดูก่อนก็ได้ค่ะ แล้วค่อยไปใช้กลุ่มทาทั่วหน้า และล้างหน้าเพิ่มเติมได้ถ้าหากไม่มีปัญหาอะไร

✔️ Proactiv and Proactiv+ Emergency Blemish Relief
เป็น 6%BPO มี penthanol ช่วยลดการระคายเคือง แต่มีน้ำหอม
✔️ Murad Acne Spot Fast Fix
เป็น 3.5%BPO เป็น gel-based
มี niacinamide, repairing fatty acids
แต่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม
✔️ Clinique Acne Solutions Emergency Gel Lotion
มี 5%BPO gel lotion ผสม green tree
ไม่มีน้ำหอม แต่มี silicone, alcohol

สุดท้ายนี้
ใครที่เป็นสิวเรื้อรัง รักษาไม่หาย ไม่รู้จะใช้อะไรดี ก็อย่ามัวลองผิดลองถูกอยู่นาน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังร่วมดูแลนะคะ

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️

No Sponsored Content

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

10 คำถามเรื่อง Thiamidol & ฝ้าและการสร้างเม็ดสีผิว ‼️

หากพูดถึงเรื่องเดอโมคอสเมติกส์ที่ช่วยเรื่องฝ้าหรือรอยดำจากสิว หลายคนคงรู้จักไทอามิดอลกันมาพอสมควร วันนี้เลยรวบรวม Q&A มา 10 ข้อที่น่าสนใจ

Q1 : เป็นฝ้ามียาทาอะไรใช้รักษาได้บ้าง❓

A : 1st line ของยาทารักษาฝ้า คือ Hydroquinone ซึ่งถือเป็น gold standard แต่ถ้าหากใช้ไม่ถูกวิธีก็อาจมีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างมากและเกิดฝ้าถาวร (Ochronosis) ได้ ปัจจุบันจึงถือว่า Hydroquinone เป็นยาที่ต้องควบคุมการสั่งจ่ายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น อาจมีบางประเทศที่กฏหมายอนุญาตให้ผสมในเครื่องสำอางได้ไม่เกิน 2%
ส่วนยาทาอื่น ๆ ที่ใช้ในการรักษาฝ้า เช่น topical retinoid, azelaic acid, topical methimazole เป็นต้น

Q2 : หากไม่อยากใช้กลุ่มยา มีกลุ่ม Dermocosmetics หรือสกินแคร์ตัวอื่นอีกไหมที่ช่วยเรื่องฝ้าได้ ❓

A : มีค่ะ อาจลองมองหาส่วนประกอบเหล่านี้
✔️ กลุ่มยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส เช่น arbutin 3%/deoxyarbutin, tranexamic acid 2-5%, licorice, kojic acid, ascorbic acid, resorcinol, thiamidol
✔️ กลุ่มยับยั้งการขนส่งเมลานินไปที่ผิวหนังชั้นบน (Melanin transfer inhibition) เช่น niacinamide 4%, soybean
✔️ กลุ่มเร่งการผลัดเซลล์เม็ดสีส่วนเกินที่ผิวชั้นบน (Increased epidermal turnover) เช่น glycolic acid, salicylic acid
นอกจากนั้นต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดร่วมด้วยเสมอเพื่อป้องกันการกลับมาเข้มขึ้นของฝ้า

Q3 : แล้ว Thiamidol ล่ะคืออะไร ❓

A : Thiamidol หรือ Isobutylamido thiazolyl resorcinol เป็นสารนวัตกรรมตัวใหม่ ที่ออกฤทธิ์ในกระบวนการสร้างเม็ดสีผิว โดยไปยับยั้งที่ Tyrosinase enzyme นับว่าเป็นสารทางเลือกอันดับต้น ๆ ของคนที่กำลังมองหาสกินแคร์ที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องฝ้า, รอยดำสิว หรือคนที่อยากบำรุงผิวให้ดูกระจ่างใสขึ้น สารนี้มีงานวิจัยรองรับตีพิมพ์ใน Journal of Investigative Dermatology 2018 ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นการทำวิจัยใน Human tyrosinase ก็ถือว่าเทียบเท่าได้กับการทดลองทาผิวมนุษย์ในชีวิตจริง

Q4 : เมื่อเทียบประสิทธิภาพของไทอามิดอล กับสกินแคร์ที่ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ตัวอื่นแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ❓

A : ปัจจุบันมีสกินแคร์กลุ่ม Tyrosinase inhibitor ที่ไม่ใช่ยาอยู่หลายตัว เมื่อเทียบผลการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ tyrosinase ของ Thiamidol กับสารอื่น ๆ ก็พบว่าไทอามิดอล
💯 ดีกว่า Butylresorcinol 10 เท่า
💯 ดีกว่า Kojic 1,000 เท่า
💯 ดีกว่า Arbutin 10,000 เท่า
จะเห็นว่าไทอามิดอลค่อนข้างจะเป็น Potent Tyrosinase Inhibitor ที่ออกฤทธิ์ในกระบวนการสร้างเม็ดสีผิวได้ค่อนข้างดี

Q5 : Thiamidol ใช้กับผิวคนไทยได้ไหม ❓

A : ได้ค่ะ มีงานวิจัยในผิวคนไทยพบว่า Thiamidol สามารถใช้ได้ผลในการรักษา ดังนี้
💯 ฝ้าที่รุนแรงน้อยถึงปานกลาง (mild to moderate melasma)
💯 กระ (freckles)
💯 กระแดด (solar lentigines)
โดยพบว่า ได้ผลดีกว่า “4% Arbutin + 2% Hydroquinone” ในเวลา 8-12 สัปดาห์

Q6 : อยากผิวขาวขึ้น Thiamidol ช่วยได้ไหม ❓

A : Thiamidol มีงานวิจัยรับรองว่า lightening index ลดลง ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงผิวขาวใสขึ้นใน 2-4 สัปดาห์ แต่ก็ต้องอย่าลืมว่าสีผิวของมนุษย์ถูกยีนกำหนดมาแล้ว ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม lightening และกันแดดอย่างดีก็อาจทำให้ผิวขาวขึ้นได้เพียง 1-2 ระดับเท่านั้นเมื่อเทียบกับพื้นสีผิวของแต่ละคน สามารถดูได้ที่หน้าท้อง หน้าอก ก้น หรือบริเวณที่ไม่ค่อยถูกแดดค่ะ

Q7 : ไม่อยากคล้ำหลังเที่ยวทะเล สามารถทา Thiamidol ป้องกันได้ไหม ❓

A : มีข้อมูลพบว่าสามารถช่วยป้องกัน UVB induced hyperpigmentation ได้ พูดง่าย ๆ คือ ถ้าหากทาผิวทุกวัน 1-2 สัปดาห์ก่อนไปออกแดดจัด เช่น ก่อนไปเที่ยวทะเล จะช่วยป้องกันการเกิดผิวคล้ำหลังโดนแดด ได้ดีกว่าการไม่ทา (Downregulation of tyrosinase activity in melanocyte)

Q8 : ใช้ Thiamidol นาน ๆ จะเกิดฝ้าถาวรไหม ❓

A : ที่ผ่านมายังไม่มีรายงานของผลข้างเคียงเรื่อง ฝ้าถาวร (Ochronosis) ซึ่งมักพบจากการใช้ hydroquinone แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากไทอามิดอลเป็นนวัตกรรมใหม่ คงต้องติดตามข้อมูลเพิ่มเติมในอนาคตต่อไป มีข้อมูลอัพเดทเรื่องการใช้ Thiamidol ทาเพื่อลดฝ้าที่ความรุนแรงมาก นานต่อเนื่อง 6 เดือน ก็พบว่าไม่มีผลข้างเคียง อีกทั้งฝ้ารุนแรงสามารถจางลงชัดเจนและหลังหยุดใช้ 3 เดือนก็ยังไม่กลับมาเข้มขึ้นเท่าเดิม

Q9 : คนท้องมีฝ้า ใช้ Thiamidol ได้ไหม ❓

A : ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเรื่องผลข้างเคียงในคนท้อง และเนื่องจากไทอามิดอลจัดเป็นกลุ่มเดอโมคอสเมติก ซึ่งความปลอดภัยค่อนข้างสูงและผลข้างเคียงน้อย เพราะไม่มีการดูดซึมของสารเข้าสู่กระแสเลือด ก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้พิจารณา

Q10 : Thiamidol มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ใดบ้าง ❓

A : Thiamidol (PATENTED) คิดค้นโดยทีมผู้เชี่ยวชาญ สถาบัน Beiersdorf Germany สารนี้เป็นส่วนผสมหลักอยู่ในผลิตภัณฑ์ของยูเซอรีนหลายรุ่น ยกตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวล่าสุด คือ “Spotless Booster Serum” เป็นตัวที่อัพเกรดเทคโนโลยีต่อยอดจากรุ่นเดิม [ขวดหลอดคู่ Double Booster Serum] โดยใช้เทคนิค Micro targeted Technology เพื่อเพิ่มความเสถียรและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น มี Hyaluron โมเลกุลขนาดเล็กกว่า 40 เท่า เป็นตัวพาสาร Thiamidol ลงสู่ผิวชั้นลึกได้ดีขึ้น

Bottom Line

การใช้ยาทาภายนอก ถือเป็นการรักษาหลักของการรักษาฝ้า
เดอร์โมคอสเมติกส์เป็นอีกทางเลือก ในคนที่ไม่อยากใช้ยา ซึ่งค่อนข้างปลอดภัย ออกฤทธิ์ได้ถึงผิวชั้นลึกได้ดีกว่าคอสเมติกส์ ผลข้างเคียงน้อย แต่ผลการรักษาอาจไม่ดีเท่ายา
• ถ้าหากยังได้ผล แนะนำปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังพิจารณาเพิ่มเติมการรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ยารับประทาน หัตถการต่าง ๆ และเลเซอร์
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการใดรักษาฝ้าให้หายขาดได้ แต่สามารถรักษาเพื่อให้ฝ้าจางลงได้ การรักษาฝ้าให้ได้ผลดีควรต้องควบคู่ไปกับการปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างถูกวิธี และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ฮอร์โมน ยาบางชนิด ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้นอีก

มีใครเคยลองใช้ไทอามิดอลแล้วบ้างไหมคะ เป็นอย่างไรบ้างชวนมาแชร์ประสบการณ์กันค่ะ ?


References

  1. Inhibition of Human Tyrosinase Requires Molecular Motifs Distinctively Different from Mushroom Tyrosinase Journal of Investigative Dermatology 2018; 138: 1601-1608.
  2. An updated review of tyrosinase inhibitors. Int J Mol Sci 2009; 26(10): 2440-75.
  3. Mechanism of depigmentation by hydroquinone. J Invest Dermatol 1974; 62: 436-49.
  4. Effective Tyrosinase Inhibition by Thiamidol Results in Significant Improvement of Mild to Moderate Melasma Journal of Investigative Dermatology 2019 doi:10.1016/j.jid.2019.02.013
  5. Thiamidol containing treatment regimens in facial hyperpigmentation: An international multi-centre approach consisting of a double-blind, controlled, split-face study and of an open-label, real-world study. International Journal of Cosmetic Science. 2020; 42: 377–387. doi: 10.1111/ics.12626
  6. Isobutylamido thiazolyl resorcinol for prevention of UVB-induced hyperpigmentation. J Cosmet Dermatol. 2020; 00: 1–6.
  7. 7. 24 weeks long-term efficacy and tolerability of a skin care regimen with Thiamidol in patients with moderate to severe facial hyperpigmentation Roongenkamo et al. EADV2020.

Product mentioned
Eucerin Spotless Brightening Booster Serum

(พัฒนาจาก Double Booster Serum รุ่นก่อน)
ส่วนประกอบหลัก :
✔️ Thiamidol เป็น The Powerful Human Tyrosinase Inhibitor
✔️ Hyarulonic acid small molecule ช่วยนำพาสาร Thiamidol ซึมลงสู่ผิวชั้นลึกได้ดีขึ้น
✔️ Licochalcone A ช่วยลดการอักเสบ ลดการหลั่ง endothelin จาก endothelial cell เสริมการทำงาน ช่วยลดเรื่องการเกิด hyperpigmentation
เทคโนโลยี Micro Targeted : เพื่อเพิ่มความเสถียรและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และจัดการฝ้า จุดด่างดำได้ดีกว่าเดิม ผิวแลดูกระจ่างใสขึ้น 2 สัปดาห์
เนื้อสัมผัส : บางเบา ซึมง่ายขึ้น
บรรจุภัณฑ์ : สะดวกต่อการใช้งาน หัวปั๊มกดง่ายขึ้น

Disclaimer : Sponsored Content by Eucerin

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Acne-prone Skincare, According to Dermatologist

คนเป็นสิวใช้อะไรดี..แนะนำแบบนี้ค่ะ ‼️

  1. ไอเทมที่ควรมีคู่กับการรักษาด้วยยาสิว คือ ผลิตภัณฑ์กันแดด, ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเช้า-ก่อนนอน, ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า
  2. เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับ acne-prone skin ได้แก่ non-comedogenic, oil free
  3. เลือกให้เหมาะกับผิว เช่น
    ถ้าเป็นสิว+ผิวมันควรเน้นกลุ่มที่ควบคุมความมัน
    ถ้าเป็นสิว+ผิวแห้งหรือแพ้ง่าย ควรเน้นกลุ่มเสริมกำแพงผิว ลดการระคายเคือง เพิ่มความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ
  4. คนผิวมัน เน้นผลิตภัณฑ์เนื้อบางเบา เช่น เจล โลชั่น หรือ ครีมที่ซึมเร็ว ส่วนคนผิวแห้ง เน้นผลิตภัณฑ์เนื้อครีมจะช่วยบำรุงได้ดีกว่า
  5. คนผิวแห้ง ระคายเคืองง่าย พยายามเลี่ยงน้ำหอม แอลกอฮอล์ สารกันเสีย เพราะอาจระคายเคืองได้
  6. ประสิทธิภาพและผลลัพธ์ของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดขึ้นกับสภาพผิวแต่ละคน อย่าใช้ตามเพื่อนหรือคำโฆษณา ควรต้องเลือกที่เหมาะกับตัวเอง
  7. ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติทับซ้อนกัน เพราะไม่เพียงแต่สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็นแล้วยังอาจมีผลข้างเคียงตามมาได้
  8. ในรูปเป็นเพียงคำแนะนำเบื้องต้นให้ทุกคนลองไปศึกษากันดูค่ะ
  9. สุดท้าย ย้ำเสมอหากเป็นสิวเรื้อรังรุนแรงไม่หายสักที แนะนำปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังร่วมประเมินค่ะ

ถ้าชอบ Protocol สกินแคร์สิว Acne-prone Skncare อันนี้ สามารถกดไลค์กดแชร์ได้เลยค่า ♥️

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

วิธีจัดการสิวด้วยสกินแคร์ให้เห็นผล

สกินแคร์ที่คุณใช้อยู่ มีคุณสมบัติเหมาะสมในการแก้ปัญหาสิวจากต้นตอหรือไม่

สิวเกิดจากความผิดปกติที่บริเวณรูขุมขนและต่อมไขมัน ซึ่งเป็นภาวะที่ค่อนข้างเรื้อรัง มีกลไกการเกิด คือ มีการทำงานของต่อมไขมันเพิ่มขึ้น (Hyperseborrhea) ทำให้มีการสร้างน้ำมันผิวมากขึ้น รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงของคุณสมบัติของน้ำมันผิวร่วมด้วย ทำให้กระตุ้นการสร้างเคราตินมากขึ้นบริเวณผิวที่รูขุมขน เมื่อเคราตินจับตัวกับน้ำมันผิวจึงก่อให้เกิดสิวอุดตันเล็ก ๆ (Microcomedone) ที่ใต้ผิวตามมา ร่วมกับ หากมีความไม่สมดุลของเชื้อจุลินทรีย์ Cutibacterium acne ก็จะส่งผลให้เกิดการอักเสบตามมาได้
ทำให้เห็นสิวในลักษณะต่าง ๆ ในแต่ละระยะ เช่น
สิวอุดตัน (หัวปิด = สีขาว, หัวเปิด = สีดำ)
สิวอักเสบ (ตุ่มแดง, ตุ่มหนอง, สิวหัวช้าง, ก้อนซิสต์)

เชื่อว่ามีหลายปัจจัยกระตุ้นให้เกิดสิวตามมา เช่น พันธุกรรม, ฮอร์โมน, สภาวะแวะล้อม, อาหาร, ยาบางชนิด ความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ที่ผิว เป็นต้น

การรักษาสิวให้ได้ผลจึงต้องรักษาตามกลไกของการเกิดสิว ได้แก่

  1. ลดการอุดตันของรูขุมขน
  2. ลดการทำงานของต่อมไขมัน
  3. ลดการอักเสบ
  4. ปรับสมดุลของเชื้อจุลินทรีย์ที่ผิว

ซึ่งการรักษาสิวตามแนวทางมาตรฐานยังคงเป็นการรักษาด้วยยาทา เช่น ยาทาวิตามินเอ, ยาเบนซิลเปอร์ออกไซด์, ยาทาฆ่าเชื้อสิว และหากไม่ดีขึ้นหรือเป็นสิวรุนแรงจะต้องใช้ยารับประทานร่วมด้วย เช่น ยากินกรดวิตามินเอ, ยาฆ่าเชื้อ, ยากลุ่มต้านฮอร์โมน ซึ่งเหล่านี้แพทย์จะเป็นผู้พิจารณา

ปัญหาจากการใช้ยารักษาสิวที่มักพบได้บ่อย คือ ผลข้างเคียงเรื่องผิวแห้ง แสบ ลอก ระคายเคือง ยาบางกลุ่มทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น ผลคือ ทำให้กำแพงผิวเสียสมดุลและบางคนไม่สามารถทนผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษาสิวต่อได้ ดังนั้น การใช้สกินแคร์จึงเข้ามามีบทบาท เพื่อเสริมความแข็งแรงของกำแพงผิว ช่วยลดผลข้างเคียงจากยา เสริมประสิทธิภาพการรักษาด้วยยาให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นทางเลือกของคนที่เป็นสิวไม่รุนแรง คนที่ทนผลข้างเคียงจากยาไม่ไหว และสามารถใช้เป็นตัวช่วยเพื่อลดโอกาสการเกิดสิวในระยะยาวได้ โดยควรเลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาสิว ดังนี้

1) ผลิตภัณฑ์กันแดด

แนะนำให้ใช้ร่วมด้วยเสมอ เนื่องจากยารักษาสิวทั้งยากินและยาทา ทำให้ผิวค่อนข้างไวต่อแสงมากกว่าปกติ
แนะนำชนิด non-comedogenic, non-acnegenic, won’t clog pore

2) ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า

แนะนำให้เป็นกรดอ่อน ๆ pH ประมาณ 5-5.5 และล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2 ครั้ง เพื่อลดการอุดตันของรูขุมขน

3) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพื้นฐาน

แนะนำชนิดที่ non-comedogenic มีสารเพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยบำรุงกำแพงผิวให้แข็งแรง ทั้งนี้เพื่อลดผลข้างเคียงของยาทาสิว เช่น dimethicone, glycerin
• มีคุณสมบัติช่วยลดการสร้างน้ำมันผิว เช่น niacinamide, zinc, L-carnitine, fullerene
• มีคุณสมบัติช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน เช่น retinol, glycolic acid, salicylic acid, PHA
• มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ เช่น azelaic acid, lichochalcone A, aloe vera, zinc
หากสกินแคร์กลุ่มบำรุงผิวที่มีคุณสมบัติดังกล่าว นอกจากจะช่วยเสริมการรักษาสิวให้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยลดโอกาสเกิดสิวใหม่ในอนาคตได้อีกด้วย ทั้งนี้เพราะเป็นการแก้ไขอย่างตรงจุดตามกลไกการเกิดสิวค่ะ

หากใครเป็นสิวอุดตัน ผิวมัน ที่กำลังมองหาสกินแคร์สักชิ้น ลองมองหาส่วนผสมที่กล่าวไปข้างต้น เพื่อเสริมการรักษาไปกับการทายาได้ค่ะ
ยกตัวอย่างสกินแคร์ที่มีคุณสมบัติข้างต้น เช่น Proacne A.I. Matt Fluid ซึ่งประกอบด้วย Salicylic, Licochalcone A, L-carnitine and 1,2- decanediol เป็นต้น

ทั้งนี้การรักษาและการตอบสนองต่อการรักษาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องค่อย ๆ ลองปรับที่เหมาะกับตัวเอง และหากเป็นสิวเรื้อรังรุนแรงแนะนำปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังร่วมดูแล

References:
J Drugs Dermatol. 2016; 15(1 Suppl 1): s7-s10.
JEADV 2015; 29 (Suppl. 5): 1-7.
Nat Rev Dis Primers. 2015; 1: 15029.
Dermatol Clin 2012; 30: 99–106. Clin Cosmet Investig Dermatol. 2010; 3: 135–142.

Product mentioned
Eucerin Proacne A.I. Matt
✔️ มี Salicylic acid ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันในรูขุมขนได้ดี
✔️ มี Licochalcone A เป็น Innovation ที่ช่วยลดการอักเสบผิว ลดการเกิดรอยแดงรอยดำจากสิว และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิว
✔️ มี L-carnitine มีข้อมูลว่าการทาที่ผิวจะช่วยเพิ่ม b-oxidation ในการสลาย fatty acid และลด intracellular lipid content ในต่อมไขมัน ส่งผลให้ความมันที่ผิวเริ่มลดลงชัดเจน 2-3 สัปดาห์ และคุมความมันได้นาน 8 ชั่วโมง
✔️ Hypoallergenic Test ผ่านการทดสอบการแพ้, Non-comedogenic ไม่ทำให้เกิดการอุดตัน

Disclaimer : Content Sponsored by Eucerin

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

สกินแคร์แต่ละกลุ่มต่างกันอย่างไร

ลองดูตามนี้คร่าว ๆ นะคะ

ส่วนการพิจารณาเลือกคงเป็นเรื่องของตัวบุคคล และขึ้นกับปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข เพราะปัญหาบางอย่างอาจต้องใช้ยาที่สั่งการรักษาด้วยแพทย์ บางอย่างสามารถใช้คอสเมติกส์ตามท้องตลาดก็เห็นผลได้ค่ะ

1. กลุ่มยา
ต้องสั่งจ่ายและควบคุมการใช้โดยแพทย์เฉพาะทาง เพราะความแรงสูง ประสิทธิภาพดีที่สุด แต่ผลข้างเคียงตามมาก็มากเช่นกัน

2. กลุ่มเดอโมคอสเมติกส์
ประสิทธิภาพเกือบเท่าหรือบางตัวเทียบเคียงกลุ่มยา แต่ผลข้างเคียงน้อย ส่วนใหญ่มักมีจำหน่ายในโรงพยาบาลหรือคลินิกแพทย์เฉพาะทาง ปัจจุบันคนให้ความสนใจกลุ่มนี้มากขึ้น

3. กลุ่มคอสเมติกส์
กลุ่มนี้ปลอดภัย ใช้ได้ผล แต่ต้องยอมรับว่าไม่เท่า 2 กลุ่มแรก และสามารถหาซื้อได้ แต่มีเรื่องการตลาดเข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก แนะนำศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนเลือกซื้อ

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

4 Steps เช็คสภาพผิวก่อนเลือกซื้อสกินแคร์

เชื่อไหมว่า..เพียงแค่เลือกสกินแคร์ให้ตรงกับสภาพผิว ก็ทำให้ผิวดีขึ้นได้แล้ว‼️

ถ้าอยากให้ผิวสวยแบบไม่ต้องเสียเงินไปอย่างสูญเปล่า กับการซื้อสกินแคร์ที่ไม่ตรงกับผิวตัวเอง ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าคุณมีผิวประเภทไหน

มาเริ่มเลยค่ะ

4 ขั้นตอนเช็คง่าย ๆ ว่าคุณมีผิวประเภทไหน❓

1.🔴 เช็ดเครื่องสำอางและล้างหน้าให้สะอาด แล้วรอ 1 ชั่วโมง โดยไม่ได้ทาครีมและไม่มีการสัมผัสใบหน้าใด ๆ แล้วดูว่าความรู้สึกที่ผิวหน้าเป็นอย่างไร ❓
• ถ้าสบายผิวดี —> อ่านต่อข้อ 2.🟡
• ถ้ารู้สึกแห้งตึง —> อ่านต่อข้อ 4.🟢

2.🟡 รออีก 1-2 ชั่วโมงถัดมา แล้วลองใช้ทิชชูซับที่ผิวหน้าบริเวณ T-zone ดูซิว่ามีความมันจากผิวหน้า ติดมากับทิชชูหรือไม่ ❓
• ถ้าไม่มีน้ำมันติด —> ผิวปกติ (Normal skin)
• ถ้ามีน้ำมันติด —> อ่านต่อข้อ 3.🟣

3.🟣 ต่อไปสังเกตที่แก้ม ดูว่าแห้งตึงหรือไม่ ❓
• ถ้าแก้มไม่แห้งตึง —> ผิวมัน (Oily skin)
• ถ้าแก้มแห้งตึง —> ผิวผสม (Combination skin)

4.🟢 ลองดูว่ามีอาการหน้าแดง แสบ คัน หรือไม่❓
• ถ้าไม่มี —> ผิวแห้ง (Dry skin)
• ถ้ามี —> ผิวแพ้ง่าย (Sensitive skin)

หลายคนอินบอกซ์มาบอกหมอว่า หลังจากปรับลำดับการทาครีมตามที่หมอแนะนำไป 2-3 สัปดาห์ โดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนครีมอะไร สภาพผิวก็ดีขึ้นมากเลย และนี่เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่จะทำให้ผิวของทุกคนดียิ่งขึ้นไปอีกค่ะ

“ลำดับการทาครีมที่ว่าสำคัญมาก ๆ แล้วนั้น การเลือกสกินแคร์ให้ตรงกับสภาพผิวก็สำคัญมาก ๆ ไม่แพ้กัน”

ไหนลองตอบสิคะ..ว่าคุณมีผิวประเภทไหน‼️

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.