Skin microbiome ในโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

Skin microbiome in atopic dermatitis helloskinderm
Skin microbiome in Atopic dermatitis

สาเหตุของการเกิดโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังยังไม่ทราบแน่ชัด มีข้อมูลเชื่อว่าการเสียสมดุลของไมโครไบโอมผิวอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยกระตุ้นการกำเริบของผื่นได้ เพราะการศึกษาพบว่าไมโครไบโอมที่ผิวคนเป็นภูมิแพ้ผิวหนังมีความแตกต่างเมื่อเทียบกับคนปกติ (ดังรูป)

ความแตกต่างของ skin microbiome helloskinderm

การรักษา (เพิ่มเติมจากการรักษามาตรฐาน) ที่ช่วยให้ผื่นสงบได้ อาจต้องเน้นเพิ่มเติมเรื่องการรักษาสมดุลของไมโครไบโอม

  1. ทาครีมบำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นผิวสม่ำเสมอ คุณสมบัติที่ควรมี ได้แก่
    ✔️ Petrolatum, physiologic หรือ ceramide-based lipid
    ✔️ pH-modified moisturizer
  2. การรับประทาน Probiotics, prebiotics หรือการทา probiotics lysate หรือ Postbiotics พบว่าช่วยลดกระบวนการอักเสบผิว และช่วย restore microbiome balance ได้ (ข้อมูลการศึกษาชนิดสายพันธุ์และรูปแบบการใช้ ดังตาราราง)
Bacterial strain in atopic dermatitis
Bacterial strain in atopic dermatitis

อย่างไรก็ตาม การศึกษาที่มีในปัจจุบันก็นับว่ายังไม่มากนัก ส่วนที่พบว่าเห็นผลช่วยได้จึงเป็นอะไรที่น่าจับตามองข้อมูลในอนาคตต่อไป


Reference
Skin Microbiota in Atopic Dermatitis.
Int. J. Mol. Sci. 2022, 23, 3503.
https://doi.org/10.3390/ijms23073503

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

ภาวะไม่มีผิวหนังตั้งแต่เกิด

ตัวอย่างเคส ภาวะไม่มีผิวหนังตั้งแต่เกิด
จาก Case Rep Dermatol 2018;10:182–186

เด็กชายอายุ 45 วัน หลังคลอดมีรอยโรคที่หนังศีรษะ ดังรูป

Photo credited: Case Rep Dermatol 2018;10:182–186

คล้ายเยื่อบาง ๆ ปกคลุม ไม่มีผมขึ้น
ตรวจพบมีติดเชื้อแทรกซ้อนที่ผิว
อัลตราซาวด์พบมี bullae over the
anterior fontanel, well-defined complex cyst, and an isolated subcutaneous lesion แต่สมองด้านในปกติดี

พี่ชายก็เป็นเช่นกันและหายเองในสามสัปดาห์หลังคลอด
พ่อแม่มีประวัติ second-degree relatives

วินิจฉัย Aplasia cutis congenita

ภาวะนี้พบไม่บ่อย เป็นกลุ่มอาการที่ไม่มีผิวหนังคลุม พบบ่อยที่หนังศีรษะ อาจเห็นเป็นแผล เยื่อบาง ๆ หรือตุ่มน้ำ ผมไม่ขึ้น

สาเหตุ

ไม่แน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากหลายปัจจัย เช่น
• กรรมพันธุ์
• ติดเชื้อในครรภ์ เช่น varicellar, herpes, rubella
• ยาบางชนิด เช่น methimazole
• มีรายงานพบ 7% ในพ่อแม่ที่แต่งงานในเครือญาติ
• บางรายพบความผิดปกติทางโครโมโซมอื่น ๆ ร่วมด้วย

ควรวินิจฉัยแยกโรคจาก trauma ตอนคลอด

การรักษา

ทายาปฏิชีวนะ ขนาดเล็กอาจหายเอง ขนาดใหญ่แพทย์อาจพิจารณาทำ graft แปะภายหลัง

อ่านเพิ่มเติม
Case Rep Dermatol 2018;10:182–186
https://doi.org/10.1159/000490786


บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Benzoyl peroxide ต้องทากี่นาทีจึงฆ่าเชื้อ C.acne ได้

ข้อมูลในงานวิจัยนี้ตีพิมพ์ไม่นาน เป็นการศึกษาในหลอดทดลอง พบว่า BPO จะออกฤทธิ์ bactericidal effect ต่อ C.acne ได้ ดังนี้

Reference: Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology 2022;15:403–409.

1.25% นานอย่างน้อย 60 นาที
2.5% นานอย่างน้อย 15 นาที
5% นานอย่างน้อย 30 วินาที
10% นานอย่างน้อย 30 วินาที

นั่นแปลว่า ถ้าหากความเข้มข้นต่ำอาจต้องทาทิ้งไว้นานกว่า จึงจะได้ประสิทธิภาพเทียบกับความเข้มข้นที่สูงขึ้นตามลำดับ

และบางคนที่ผิวระคายเคืองอาจไม่สามารถทาทิ้งไว้นาน อาจต้องปรับไปใช้ตัวอื่นในการควบคุมสิวแทน

แต่อย่างไรก็ตาม หากนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันกับผิวมนุษย์ อาจมีข้อจำกัดหรือปัจจัยที่ต่างไปจากหลอดทดลอง
เช่น
❓เชื้อ C.acne อาจอยู่ลึกลงไปในรูขุมขนด้วย อาจต้องใช้เวลานานกว่าในหลอดทดลอง หรือไม่
❓BPO รูปแบบ cleanser อาจถูกเจือจางตอนผสมน้ำ (ต่างกับรูปแบบ Leave-on หรือ rinse-off) อาจต้องใช้เวลานานขึ้นหรือความเข้มข้นที่สูงกว่าเดิม หรือไม่

อาจต้องรอการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคตต่อไป


Reference

Minimum Contact Time of 1.25%, 2.5%, 5%, and 10% Benzoyl Peroxide for a Bactericidal Effect Against Cutibacterium acnes

Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology 2022;15:403–409.

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

พื้นฐานการล้างหน้าและการเลือกคลีนเซอร์

การล้างหน้า ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการดูแลผิวในทุกวัน การล้างหน้าให้สะอาดและถูกวิธีจะสามารถขจัดสิ่งสกปรก เซลล์ผิวที่ตายแล้ว น้ำมันส่วนเกินหรือแม้แต่เครื่องสำอางบางอย่างที่น้ำเปล่าไม่สามารถชำระล้างออกได้หมด
มีคำถามที่มักถูกถามมาบ่อย ๆ เกี่ยวกับการเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ลองมาทำความเข้าใจกันค่ะ

เราควรเลือก Cleanser พื้นฐาน อย่างไรดี ❓

การเลือก Cleanser ที่ดี ควรเลือกตามสภาพผิวของแต่ละคน ไม่แนะนำเลือกตามเพื่อน โดยปกติจะแนะนำพื้นฐานผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ดังนี้

• เลือก Gentle cleanser ที่มีส่วนผสมพื้นฐานที่ช่วยบำรุงกำแพงผิว และไม่ทำลายชั้นไขมันที่ผิว เพิ่มความชุ่มชื้นผิว เช่น ceramide, hyaluronic acid, glycerin เป็นต้น

• pH balance 4.5-5.75 ซึ่งจะรู้สึกได้เลยว่าหลังล้างผิวไม่แห้งตึง และ pH ที่สมดุลจะส่งผลถึง skin barrier ที่แข็งแรง ลดการอักเสบผิว และไม่ทำให้เสียสมดุลของจุลินทรีย์

• แนะนำ Syndet (Synthetic detergents) liquid หรือ Non foaming cleanser โดยเฉพาะสำหรับคนผิวแห้ง กลุ่มนี้ pH เป็นอยู่ในช่วงกลางถึงกรดเล็กน้อย มักไม่ค่อยมีฟอง และหลังจากล้างออกด้วยน้ำ จะเหลือลักษณะคล้ายฟิล์มเคลือบผิวบาง ๆ เพื่อคอยช่วยเรื่องความชุ่มชื้นผิว ซึ่งไม่ควรถูหรือพยายามเช็ดออก

basic cleanser การเลือกคลีนเซอร์และการล้างหน้า
Basic cleanser

ควรล้างหน้าบ่อยแค่ไหน และ ควรล้างหน้านานกี่นาที ❓

แนะนำว่าควรให้เวลากับการล้างหน้าให้สะอาด เฉลี่ยประมาณ 20-30 วินาที ไม่นานเกินจน overwash หรือเร็วเกินไปจนล้างไม่สะอาด
และ การล้างหน้าวันละ 2 ครั้งถือว่าเพียงพอต่อการทำความสะอาดผิวหน้าค่ะ ยกเว้นมีสิ่งสกปรกหรือเลอะเหงื่อสามารถล้างเพิ่มได้

รู้ได้อย่างไรว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดล้างหน้านั้นไม่เหมาะกับผิวเรา และควรเลี่ยงประเภทไหน ❓

แนะนำวิธีสังเกต หากผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีอาการแห้งตึงหลังล้างหน้าเสร็จประมาณ 5-10 นาที หรือ มีอาการแสบ แดง คัน ลอก แสดงว่าไม่เหมาะกับผิวเรา แนะนำว่าควรเปลี่ยน

คนที่ผิวแห้ง ระคายเคืองง่าย ควรเลี่ยงส่วนผสมพวก acetone, alcohols, nonionic surfactants บางชนิด เพราะจะทำให้ยิ่งแห้งระคายเคืองมากขึ้น

คนที่แพ้น้ำหอม ผิวแพ้ง่าย ควรเลี่ยงส่วนผสม fragrance, สารกันบูด หรือ สีผสมต่าง ๆ ซึ่งมักพบในกลุ่ม Soap

BOTTOM LINE

การล้างหน้าให้สะอาดและถูกวิธี นอกจากเพื่อการทำความสะอาดผิวแล้ว ยังเสมือนเป็นการเตรียมผิวให้พร้อมรับสกินแคร์ ที่จะบำรุงในขั้นตอนต่อไปให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เราจึงควรต้องให้ความสำคัญกับการเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวให้มากขึ้น มองหาสิ่งที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน ผลิตภัณฑ์ควรทำความสะอาดผิวได้ดี โดยไม่ทำร้ายกำแพงผิวเรา
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านที่ได้อ่านนะคะ ถ้าชอบสามารถไลค์และแชร์ได้เลย


References

J Drugs Dermatol. 2019 Jan 1;18(1):80-85.
J Clin Aesthet Dermatol. 2019;12(7):18–21.
J Cosmet Dermatol. 2018 Feb;17(1):8-14.
Indian J Dermatol. 2011;56(1):2-6.


บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

“Tik Tok Tyloma” ตุ่มที่นิ้วจากการเล่นโซเชียลมีเดียประจำ

เคสตัวอย่าง Tik Tok Tyloma

ผช 19 ปี มีตุ่มหนานูนบริเวณด้าน radial aspect ของนิ้วก้อยข้างซ้าย ซึ่งตรงกับตำแหน่งเสียดสีกับโทรศัพท์มือถือในท่าจับเพื่อให้โทรศัพท์ตั้งอยู่บนมือ ดังรูป
เคสนี้ให้ประวัติว่าใช้โทรศัพท์เล่น social media เป็นประจำ เสียดสีในท่าเดิมซ้ำ ๆ จึงมาการตั้งชื่อ Tik Tok tyloma

Photo Reference: Dermatology Online Journal. 2021 Nov 15; 27 (11).

ที่จริงก็คือภาวะ Callus หรือ Tyloma นั่นเอง
ซึ่งเกิดจากการมีผิวหนังหนานูนขึ้นจากการเสียดสีซ้ำ ๆ ที่เดิม ไม่จำเป็นต้องเป็นจากมือถือเท่านั้น ก่อนนี้มีรายงานผื่นหนานูนที่นิ้วโป้งจากการเสียดสีเล่นเกมส์บ่อย ๆ เรียกว่า Play station thumb

ภาวะนี้ไม่อันตราย เพียงลดการเสียดสี ก็จะดีขึ้น

Reference
Dermatology Online Journal. 2021 Nov 15; 27 (11).
https://doi.org/10.5070/D3271156100

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Drugstore Acne Spot หน่วยกู้สิวฉุกเฉิน

สิวอักเสบขึ้นไม่กี่เม็ด อาจทำให้เกิดความรำคาญใจของใครหลายคน โดยเฉพาะใครที่ต้องใช้ใบหน้าเพื่อการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรับปริญญา ไปเที่ยวกับเพื่อน ถ่ายแบบ เป็นต้น

กลไกการเกิดสิว

หลัก ๆ มี 4 อย่าง ได้แก่

• การอักเสบของรูขุมขน
• การอุดตันของรูขุมขน
• การเสียสมดุลของเชื้อสิว C.acne
• การหลั่งน้ำมันผิวเพิ่มขึ้น

วิธีการรักษาสิว

สรุปคร่าว ๆ ตามรูป (สามารถอ่านเพิ่มเติมทบทวนได้ในโพสก่อนนี้ค่ะ)

หากสิวอักเสบไม่รุนแรง ขนาดน้อยกว่า 5 มิลลิเมตร อาจใช้สกินแคร์หรือยาแต้มสิวเฉพาะจุดได้ แต่หากสิวอักเสบรุนแรง หลายเม็ด เม็ดใหญ่เกิน 5 มิลลิเมตร อาจไม่ค่อยได้ผลจากการแต้มเฉพาะจุดอย่างเดียว แนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทางร่วมดูแล

วินาทีเร่งด่วน

ในขณะที่ยังไม่สะดวกไปพบแพทย์ และไม่มียาแต้มสิว จะทำอย่างไรได้บ้าง แนะนำแบบนี้ค่ะ

1. หากมีสิวอักเสบที่มีอาการเจ็บร่วมด้วย อาจใช้วิธี ประคบเย็น
2. สามารถใช้ แผ่นแปะสิว ร่วมด้วยได้
3. ใช้ สกินแคร์สำหรับแต้มสิวเฉพาะจุด แนะนำวิธีแต้มอาจใช้ปลายนิ้วก้อย หรือใช้ cotton bud แต้มเบา ๆ เพื่อลดการกระตุ้นให้อักเสบมากขึ้น

DRUGSTORE-ACNE SPOT TREATMENT

สกินแคร์แต้มสิวอักเสบ เมื่อเทียบกับยาแต้มสิวแล้วประสิทธิภาพอาจน้อยกว่าหรือเท่ากับ แต่จัดว่าค่อนข้างปลอดภัย และสามารถหาได้ตามร้านยาทั่วไป และอีกอย่างที่เป็นข้อดีคือ ลดการเกิดสิวดื้อยาได้

ควรมองหาส่วนผสม ที่สามารถลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อสิว และช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนร่วมด้วยได้

ยกตัวอย่าง

Acne Spot Skincare
Acne Spot Skincare

Salicylic acid หรือ BHA

ละลายได้ดีในไขมัน จึงสามารถซึมลงออกฤทธิ์ที่ต่อมไขมันที่ผิวได้ดี ช่วยลดการอุดตันรูขุมขนได้ดี ช่วยลดการอักเสบ
กรณีใช้แต้มสิวแนะนำความเข้มข้น 0.5-2% ก็เพียงพอ (ความเข้มข้นมากกว่านี้มักใช้สำหรับรักษาโรคผิวหนังที่มีการหนาตัวขึ้น)
หากผิวระคายเคืองง่าย แนะนำเริ่มที่ความเข้มข้นต่ำก่อน
โดย SA สามารถใช้แต้มได้ทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบ

Sulfur

เป็นตัวที่ใช้เสริมการรักษาสิวมานานหลายสิบปี
ช่วยลดการอุดตันรูขุมขน ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิดได้
พบว่ายิ่ง Sulfur ที่มีโมเลกุลเล็กจะยิ่งออกฤทธิ์ keratolytic effect ได้ดีกว่าโมเลกุลใหญ่
ในท้องตลาดมักผสม 1-10%
ส่วนใหญ่แล้วแนะนำแต้มสิวไม่เกิน 5% ซึ่งเป็นความเข้มข้นที่ให้ผลการรักษาสิวที่ดีและไม่ก่อการระคายเคือง
สามารถใช้ได้ในคนที่แพ้ซัลฟา

Sodium sulfacetamide

ออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อสิว
มีข้อมูลใช้ 10% Sodium sulfacetamide + 5% Sulfur ช่วยลดได้ทั้งสิวอักเสบและสิวอุดตันได้ชัดเจน
ข้อควรระวัง ไม่แนะนำให้ใช้ในคนที่แพ้ซัลฟา

Isopropyl methylphenol (IPMP)

สารตัวนี้เป็นที่นิยมใช้ใน drugstore skincare สำหรับแต้มสิวในญี่ปุ่นหลายแบรนด์ มีคุณสมบัติสามารถซึมลงในรูขุมขนได้ดี จึงช่วยลดการอุดตันจากสิ่งสกปรก ลดความมันที่ผิวร่วมด้วยได้ นอกจากนั้นยังช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อร่วมด้วยได้

Zinc PCA

ช่วยลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อสิว และลดการหลั่งน้ำมันผิวร่วมด้วยได้

CICA (Centella Asiatica)

ช่วยเพิ่มเลือดไปเลี้ยงบาดแผล บาดแผลหดตัวดี มีฤทธิ์ต้านการอักเสบช่วยลดอาการบวมแดงได้ดี ผลคือช่วยให้แผลสิวหายเร็วขึ้น

และอื่น ๆ เช่น
Soy
Aloe vera
Vitamin E, B3
Tea tree oil
Bisabolol
Oat meal
Pine bark extract
เป็นต้น

PRACTICAL POINT

โดยส่วนใหญ่แนะนำให้แต้มสิวหลังจากที่ล้างหน้าสะอาดแล้ว จากนั้นรอให้ซึมสักครู่ ประมาณ 3-5 นาที แล้วจึงเริ่มทาสกินแคร์บำรุงผิวเป็นขึ้นตอนต่อไป

ยกตัวอย่าง การจับคู่ยาและสกินแคร์แต้มสิวอักเสบและอุดตันเฉพาะจุด

ชิ้นที่ 1 : กลุ่มยา เช่น 2.5% benzoyl peroxide (แนะนำปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ไม่แนะนำให้ซื้อมาใช้เอง)
ร่วมกับ
ชิ้นที่ 2 : กลุ่มสกินแคร์ ที่มีส่วนผสมของ Salicylic acid, Sulfur และ สารลดการอักเสบ เช่น Centella Aisatica (CICA), Vitamin E, Isopropyl methylphenol เช่น Mentholatum Acnes Sealing Jell
[ดูรายละเอียดผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมตอนท้าย]

BOTTOM LINE

โดยสรุป สกินแคร์แต้มสิวฉุกเฉินสามารถหาซื้อง่ายตามห้างทั่วไปและร้านยา มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพในการใช้บรรเทาสิวชนิดที่ไม่รุนแรงได้ แต่หากใช้แล้วไม่ดีขึ้น หรือมีสิวรุนแรงเรื้อรัง แนะนำปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี

อย่างไรก็ตาม การตอบสนองต่อยาและส่วนผสมแต่ละชนิดในแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน แนะนำให้ลองเลือกและปรับตามสภาพผิวของตัวเอง

หากชอบและเห็นว่าบทความมีประโยชน์ สามารถกดแชร์แบ่งปันเพื่อน ๆ ได้เลยนะคะ

ด้วยความปรารถนาดี


Reference:

American Academy of Dermatology (AAD)
MIMs Pharmacy
Dermatologic Therapy. 2020;e14287.
J Evid Based Med. 2020;1–9.
Experimental Dermatology. 2019;28:786–794.
Environmental Toxicology and Pharmacology 2015;39,384-391.
Phytother. Res. 2014;28,1117–1124.


[Disclaimer] สนับสนุนความรู้โดย Mentholatum Acnes Sealing Jell

เจลสำหรับแต้มสิว
สามารถใช้ได้กับทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบที่ไม่รุนแรง

สารประกอบหลัก
Salicylic Acid (BHA) ช่วยลดการอุดตันในรูขุมขน ผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และลดการอักเสบสิว
• Isopropyl Methylphenol (IPMP) ลดแบคทีเรียในรูขุมขน ช่วยลดการอักเสบสิว
Sulfur 2% ช่วยลดความมัน ลดการอุดตันรูขุมขน
Centella Aisatica (CICA) ลดการอักเสบได้ดี จึงช่วยลดรอยแดงจากสิว ช่วยในกระบวนสมานแผลสิวให้หายเร็วขึ้น
Vitamin E ช่วยปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคือง

ข้อมูลเพิ่มเติม Link ร้านค้าอย่างเป็นทางการ (ป้องกันของปลอม)
Lazada: https://bit.ly/3CSigU4
Shopee: https://bit.ly/3L0bfnb


👩🏻‍⚕️อ่านบทความย้อนหลังที่
https://helloskinderm.com
รวมลิ้งค์ https://opl.to/drwarayuwadee
บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

NICE Acne Guideline 2021 อัพเดทล่าสุด..การรักษาสิวสำหรับแพทย์ทั่วไป

ACNE GUIDELINE ของ The National Institute for Health and Care Excellence (NICE) ล่าสุด‼️

มีประเด็นที่น่าสนใจพูดเกี่ยวกับคำแนะนำการรักษา และ เมื่อไหร่ควรส่งต่อเคสสิว

การรักษาเบื้องต้นสำหรับแพทย์ทั่วไป

การรักษาไม่ต่างจากเดิมนัก รายละเอียดดังรูป

NICE acne guideline
Photo credited: British Journal of Dermatology

การส่งต่อเคสพบ Dermatologist

แบ่งตามความเร่งรีบคร่าว ๆ ดังนี้

Urgent

หากเป็นไปได้ควรรีบส่งต่อ ถ้าเป็น Acne fulminans เพราะต้องให้การรักษาเร็วหน่อย ซึ่งผู้ป่วยจะมี nodulocystic acne เพิ่มขึ้นรวดเร็วร่วมกับมีอาการทางกายอื่น ๆ เช่น ไข้ ปวดเมื่อยตามตัว

Consider

พิจารณาส่งต่อ แต่ไม่รีบมาก กรณีดังนี้
• ไม่แน่ใจการวินิจฉัยโรค
• Acne conglobata
• Nodulo-cystic acne

กรณีที่อยากลองรักษาเบื้องต้น สามารถทำได้ และพิจารณาส่งต่อ กรณีดังนี้
• สิวเล็กน้อยถึงปานกลาง ไม่ดีขึ้นหลังรักษา 2 completed course
• ไม่ตอบสนองหลังให้ยาปฏิชีวนะ
• Acne with scarring มีแผลเป็นหรือหลุมสิว
• Acne with pigmentary change มีการเปลี่ยนแปลงสีผิว
• Medical conditions มีภาวะร่วมอื่น ๆ เช่น ถุงน้ำรังไข่หลายใบ ทานยา anabolic steroid เป็นต้น
• Mental change มีความกังวลใจ เครียด มีแนวโน้มซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย ซึ่งต้องปรึกษาทีมจิตแพทย์ร่วมดูแล

Photo credited: British Journal of Dermatology

ที่มา
https://www.guidelines.co.uk/skin-and-wound-care/nice-management-of-acne-guideline/456130.article
Photo credited: British Journal of Dermatology

สกินแคร์ชะลอวัย 101 ด้วย Retinaldehyde & Bakuchiol

หลายคนที่หวังผล Anti-aging จากการทา Tretinoin แต่ประสบปัญหาหน้าแดง แสบ ลอก ไม่ว่าจะลองปรับลดความถี่ ลดความเข้มข้น เสริมสกินแคร์เพิ่มความชุ่มชื้นมากมาย แต่ก็ไปไม่รอด อยากให้ลองอ่านบทความนี้ เกี่ยวกับสกินแคร์ในรูปแบบทา ที่ออกฤทธิ์ anti-aging ได้คล้ายคลึงกับ tretinoin นั่นก็คือ อนุพันธ์วิตามินเอ (Vitamin A derivatives) และ Bakuchiol

เรามาทำความเข้าใจพื้นฐานเล็กน้อยกันก่อนค่ะ

ก่อนจะมาเป็น Retinoic acid จะต้องผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงสารตั้งตั้น คือ Retinyl ester Retinol Retinaldehyde -> Retinoic acid ซึ่งเป็นสารตัวที่สามารถซึมลงสู่ผิวชั้นหนังแท้และออกฤทธิ์ได้ที่ผิวหนังในที่สุด

วิตามินเอ Tretinoin and Vitamin A Derivatives
กระบวนการเปลี่ยนแปลงวิตามินเอที่ผิวหนัง

โดยปกติมีการแบ่งวิตามินเอชนิดทา เป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

  1. กลุ่มยา ได้แก่ Tretinoin ( retinoic acid) ต้องมีการสั่งจ่ายโดยแพทย์เพราะมีผลข้างเคียงระคายเคืองมากกว่า โดยปกติจึงไม่แนะนำให้ซื้อใช้เอง สามารถอ่านทบทวนบทความที่เคยเขียนไว้ก่อนนี้ได้ค่ะ
  2. กลุ่มสกินแคร์ ได้แก่ Natural vitamin A derivatives และ Bakuchiol ซึ่งจัดเป็นกลุ่มที่ไม่ใช่ยา และมักถูกนำมาผสมในสกินแคร์เพื่อหวังผลด้าน antiaging ได้แก่
Tretinoin or Retinoic acid ​
Tretinoin or Retinoic acid

2.1 Retinaldehyde

เป็น retinoic acid precursor ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็น retinoid acid ได้ที่ keratinocyte ที่ผิวมนุษย์เพียง 1 ขั้นตอน พบว่าใช้ได้ผลในแง่ antiaging อยู่ที่ความเข้มข้น 0.05 – 0.5% โดยหลังการทาผิว 1-3 เดือน มีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่

• ความหนาของผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermal thickness) เพิ่มขึ้น
• ความยืดหยุ่นผิว (cutaneous elasticity) เพิ่มขึ้น
• สภาพผิวเรียบขึ้น ริ้วรอยเล็ก ๆ ดีขึ้น (Texture improvement)
• ค่าการสูญเสียน้ำจากผิว (TEWL) ลดลง ผิวชุ่มชื้นขึ้น
• ค่าการสร้างเม็ดสีผิว (Melanin index) ลดลง ในกรณี Retinaldehyde 0.1% ขึ้นไป

มีข้อมูลเปรียบเทียบการทา retinaldehyde 0.05% กับ การทายา retinoic acid 0.05% พบว่าหลังการทานาน 18 – 44 สัปดาห์ ริ้วรอยเล็ก ๆ (Fine wrinkle) และผิวที่ไม่สม่ำเสมอ (Roughness) ดีขึ้นทั้งสองชนิด

ดังนั้น การทา retinaldehyde จึงเป็นอีกทางเลือกที่มีข้อมูลรองรับและน่าสนใจสำหรับคนที่ไม่สามารถทนผลข้างเคียงของยาทากรดวิตามินเอ (retinoic acid) ได้ และสามารถใช้ได้ในระยะยาวแม้บริเวณผิวที่มีการระคายเคืองง่าย

Retinaldehyde
Retinaldehyde

2.2 Retinol

เป็นตัวตั้งต้นของ retinaldehyde และต้องผ่าน 2 ขั้นตอนในการเปลี่ยนเป็น retinoic acid นิยมใช้สำหรับผสมในสกินแคร์ ที่ผ่านมามีการศึกษาพบว่าหลังการทา retinol มีการเพิ่มขึ้นของ epidermal retinyl ester แต่ไม่มีการเพิ่มของ retinoic acid level

มีการศึกษาที่ใช้ 0.4-1% retinol ชนิดทาผิว พบว่าปริมาณ collagen ที่ผิว เพิ่มขึ้นหลังการทา 4 สัปดาห์ แต่ประสิทธิภาพต้องขึ้นกับ vehicle ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์นั้นร่วมด้วย คงต้องรอข้อมูลในอนาคตเพิ่มเติม และ retinol จะสลายตัวง่ายเมื่อถูกแสงและอากาศ ต้องเลือกบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะ

ข้อดีของกลุ่มนี้คือ อ่อนโยน ระคายเคืองน้อย

Retinol
Retinol

2.3 Retinyl-palmitate, retinyl propionate และ retinyl-acetate

จัดเป็น vitamin A ester derivatives กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ได้ผลน้อยที่สุดในบรรดา topical retinoids ทั้งหมด เพราะต้องผ่านขั้นตอนการตัดพันธะ ester ให้กลายเป็น retinol และเกิดการ oxidation เพื่อให้เป็น tretinoin อีกที เรียกได้ว่ากว่าจะออกฤทธิ์ได้ต้องผ่านถึง 3 ขั้นตอน และการดูดซึมก็ไม่ดีเท่าที่ควร

ข้อมูลการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า กลุ่มนี้อาจช่วยเรื่อง UV protection ได้เล็กน้อย แต่ยังไม่มีข้อมูลช่วยเรื่อง antiaging

Vitamin A Ester Derivatives
Vitamin A Ester Derivatives

2.4 Bakuchiol

เป็น purified meroterpene phenol สารสกัดจากพืช Psoralea corylifolia (babchi) พบว่ามีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ผลัดเซลล์ผิว ลดการอักเสบ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเรื่องสิวได้

โดยพบว่าการทา 0.5% Bakuchiol นาน 12 สัปดาห์ ช่วยให้ริ้วรอยเล็ก ๆ ดีขึ้นได้เทียบเคียงกับการทา 0.5% Retinol

นอกจากนั้นยังช่วยให้รอยดำดีขึ้นเพราะช่วยยับยั้งในกระบวนการสร้างเม็ดสีผิวร่วมด้วย และยังพบผลข้างเคียงเรื่องระคายเคืองน้อยที่สุดและน้อยกว่า Retinol

ดังนั้น Bakuchiol จึงเป็นน้องใหม่ที่น่าสนใจอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่ทนผลข้างเคียงเรื่องการระคายเคืองของ tretinoin ไม่ได้

Bakuchiol
Bakuchiol

เหนือสิ่งอื่นใดหากต้องการให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์ไปนาน ๆ นอกจากการใช้สกินแคร์กลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอแล้ว ต้องไม่ลืมที่จะ ดูแลกำแพงผิวพื้นฐานให้แข็งแรงและเพิ่มความชุ่มชื้นควบคู่ไปด้วยเสมอ โดยมองหาสกินแคร์เหล่านี้ร่วมด้วย

สกินแคร์ที่มีส่วนผสมพื้นฐานของผิว ได้แก่ ceramide, hyaluronic acid หลายโมเลกุล และสกินแคร์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น niacinamide, vitamin C, E, ferulic, ectoin เป็นต้น

การใช้สกินแคร์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดูแลผิว เพื่อให้ผิวของเรามีสุขภาพดี ซึ่งคงต้องทำควบคู่ไปกับวิธีการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การออกกำลังกาย การทานอาหารที่มีประโยชน์ งดสูบบุหรี่ การปกป้องผิวจากแสงแดดร่วมด้วยอย่างถูกวิธี ทั้งนี้เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่า

ยกตัวอย่างการจัดสกินแคร์พื้นฐานเพื่อชะลอผิวเสื่อมตามวัย
▫️ชิ้นที่ 1 ผลิตภัณฑ์กันแดด

▫️ชิ้นที่ 2 The Concentrate 25.8 Serum Booster ซึ่งมีอนุพันธ์วิตามินเอ (0.1% Retinaldehyde, 1% Bakuchiol) + สารต้านอนุมูลอิสระและส่วนผสมลดการสร้างเม็ดสี (10% Niacinamide, 4% Ascorbyl glucoside, Purified bromelain)

▫️ชิ้นที่ 3 Be-Barrier 24.7 Restoring Serum ซึ่งมีส่วนผสมบำรุงกำแพงผิวพื้นฐาน (10% Ceramide complex, 8 Hyaluronic acid, 2% Ectoin) + ส่วนผสมลดการสร้างเม็ดสี (3% Tranexamic acid)
[อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมท้ายบทความ]

BOTTOM LINE

โดยสรุป วิตามินเอรูปแบบทาเพื่อหวังผลเรื่อง Antiaging

ตัวที่มีข้อมูลรับรองมากที่สุดคือ กลุ่มยาทา Tretinoin เป็นยาที่ต้องมีการสั่งจ่ายโดยแพทย์ การระคายเคืองมาก

ถ้าในแง่สกินแคร์ของอนุพันธ์วิตามินเอที่ได้ผลด้าน Anti-aging อาจพิจารณา Retinaldehyde ซึ่งมีข้อมูลประสิทธิภาพมากที่สุด หรือทางเลือกอื่นที่ระคายเคืองน้อยกว่าและข้อมูลรองลงมา เช่น Bakuchiol (ระคายเคืองน้อยที่สุด) หรือ Retinol

ส่วนกลุ่มที่ปัจจุบันพบว่าไม่ค่อยช่วยเรื่อง anti-aging ได้แก่ กลุ่ม Vitamin A ester คงต้องรอข้อมูลในอนาคตต่อไป

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการดูแลผิวสำหรับทุกท่านที่กำลังหาข้อมูลเรื่องวิตามินเอทาผิวอยู่นะคะ ถ้าชอบสามารถแชร์ให้เพื่อน ๆ อ่านได้เลย


References
J Cutan Med Surg. 2022 Jan-Feb;26(1):71-78.
Br J Dermatol. 2019 Feb;180(2):289-296.
J Cosmet Dermatol. 2018 Jun;17(3):471-476.
J Dermatolog Treat. 2017 Dec;28(8):684-696.
Aesthet Surg J. 2010 Jan;30(1):74-7.
Br J Dermatol 2008;158: 472-477.
Clin Dermatol 2008;26:633-635.
Arch Dermatol 2007;143:606-612.
Clin Interv Aging. 2006;1(4):327-48.
Dermatol Therapy 2006;19:289-296


[Disclaimer] สนับสนุนบทความโดย HERBITAGE

ทำการพัฒนาสูตรร่วมกับสถาบัน KAPI ม.เกษตร โดยเป็นการต่อยอดเชิงพาณิชย์ให้แก่งานวิจัยด้าน Purified Extract จากพืชผลการเกษตรของไทย

สูตรแรก HERBITAGE The Concentrate 25.8 Serum Booster (สีเขียว)💚

ช่วยเสริมการรักษาสิว ริ้วรอยเล็ก ๆ ดูดีขึ้น รูขุมขนแลดูเล็กลง
ส่วนประกอบหลัก
0.1% Retinaldehyde เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่มีข้อมูลประสิทธิภาพด้าน anti-aging มากสุดในกลุ่มเครื่องสำอาง
1% Bakuchiol สารสกัดวิตามินเอจากธรรมชาติที่มีฤทธิ์คล้ายเรตินอล อ่อนโยน
10% Niacinamide, 4% Ascorbyl glucoside ลดการสร้างเม็ดสีผิว
Purified bromelain เอนไซม์เหง้าสับปะรดบริสุทธิ์ จาก ม.เกษตรศาสตร์ สารต้านอนุมูลอิสระ

เนื้อสัมผัสบางเบา ซึมง่าย ไม่ระคายเคือง
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร, คนแพ้วิตามินเอและอนุพันธ์, ผู้ที่มีผิวหนังอักเสบ เช่น เซบเดิร์ม

สูตรสอง HERBITAGE Be-Barrier 24.7 Restoring Serum (สีน้ำเงิน)💙

ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เสริมกำแพงผิว ผิวแลดูกระจ่างใส ต่อต้านมลภาวะ
ส่วนประกอบหลัก
2% Ectoin ช่วยเสริมความแข็งแรงของผิว
10% Ceramide complex ช่วยฟื้นฟูกำแพงผิว
3% Tranexamic acid ช่วยยับยั้งในกระบวนการสร้างเม็ดสีผิว
8 Hyaluronic acids ช่วยเติมน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นผิว
Liquid Crystal Emulsion ช่วยนำพาสารออกฤทธิ์เข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น

Herbitage Concentrate and Be barrier

ข้อมูลการทดลองจากทาง HERBITAGE โดยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าหลังการใช้ผลิตภัณฑ์คู่กัน 28 วัน ในอาสาสมัคร 30 คน ริ้วรอยตื้นขึ้น 21.2%, ผิวชุ่มชื้นขึ้น 64.5% และ ผิวแลดูกระจ่างใสขึ้น 6.45%

*ผลลัพธ์ต่อผลิตภัณฑ์ขึ้นกับการตอบสนองของแต่ละบุคคล

ข้อมูลเพิ่มเติม Link ร้านค้าอย่างเป็นทางการ (ป้องกันของปลอม)
Shopee : https://bit.ly/2PmOxy7

Lazada : https://bit.ly/3fzwrUy

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

วิธีเลือกหมวกกันแดด

หมวกทุกชนิดกันแดดได้ แต่หมวกแต่ละชนิดกันรังสียูวีได้ไม่เท่ากัน ปกป้องส่วนต่าง ๆ ของผิวบนใบหน้าได้ไม่เท่ากัน

หากมองหาหมวกสักใบเพื่อเสริมการปกป้องผิวจากแสงแดด แนะนำแบบนี้ค่ะ

หมวก กันแดด

• ผิวที่เราต้องปกป้อง ควรต้องครอบคลุมทุกส่วนบนใบหน้า ทั้งหน้าผาก จมูก คาง แก้ม ท้ายทอย

ดังนั้น ควรเลือกหมวกที่มีปีกกว้าง โดยพบว่าหมวกที่มีส่วนปีกกว้างมากกว่า 7.5 เซนติเมตร และควรปีกกว้างรอบทุกด้าน จึงปกป้องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

• มองหาหมวกที่ทำจากวัสดุที่มีระบุค่าที่บ่งบอกถึงการปกป้องยูวีทั้ง UVA & UVB ที่เรียกว่า UPF (ต่างกับ SPF จะหมายถึงเฉพาะ UVB protection) โดยถือว่า

UPF 30-49 จัดเป็น Very good protection

UPF 50+ ขึ้นไป จัดเป็น Excellent protection

ดังนั้น ถ้าแดดแรงมากควรเลือก UPF 50 ขึ้นไป

• สีของหมวกก็สำคัญ แต่ละสีปกป้องแสงแดดไม่เท่ากัน สีเข้มจะสามารถดูดซับแสงไว้ที่ตัวได้ดี ทำให้ทะลุผ่านมาถึงผิวหนังได้น้อยกว่าสีอ่อน

ดังนั้น ควรเลือกสีเข้มจะปกป้องยูวีได้ดีกว่า

• ลักษณะของเนื้อผ้าและการถักทอของผ้า ถ้าผ้าหนา ทอละเอียดจะยิ่งมีโอกาสให้รังสียูวีทะลุผ่านได้น้อย ดังนั้น ควรเลือกผ้าที่หนา ทอแน่น จะดีกว่า ผ้าบาง ทอโปร่ง

กลุ่มปกป้องยูวีได้มากกว่า เช่น ผ้ายีนส์ ผ้าแคนวาส ผ้าขนสัตว์ ผ้าใยสังเคราะห์

• ผ้าอื่น ๆ เช่น

ผ้าฝ้ายไม่ฟอกสี จะยังมีสารลิกนิน ซึ่งเป็น UV absorber ช่วยกันยูวีได้ดีกว่าที่ฟอกสีแล้ว

ผ้าโพลีเอสเตอร์แบบเงา หรือ ผ้าไหมซาติน พวกนี้มีความเงาจะช่วยสะท้อนแสง และกันยูวีได้มากกว่าผ้าไม่เงา

ผ้าบางชนิดใช้เทคโนโลยีการผสม Chemical UV absorber ก็ช่วยได้เช่นกัน

• การสวมใส่ก็ปกป้องได้แตกต่าง แนะนำว่าควรสวมหมวกให้หลวมเล็กน้อย ไม่แน่นมาก เพราะการสวมแน่นจะเป็นการยืดเส้นใยของผ้าให้ถ่างออกและมีรูให้รังสียูวีทะลุผ่านมาได้มากขึ้น

ดังนั้น คนสองคนใส่หมวกใบเดียวกัน อาจจะปกป้องรังสียูวีได้แตกต่าง บางคนหัวเล็กหัวใหญ่ ใส่แล้วหลวมหรือแน่น

การสวมหมวก เป็นหนึ่งในวิธีการเสริมการปกป้องผิวจากรังสียูวี เหนือสิ่งอื่นใดต้องควบคู่กับการทาครีมกันแดดอย่างถูกวิธี เพราะการสวมหมวกปีกกว้าง หรือ ใส่เสื้อแขนยาว ก็ไม่สามารถทดแทนการทาครีมกันแดดได้แน่นอนค่ะ

หากบทความมีประโยชน์ สามารถแชร์ให้เพื่อน ๆ อ่านได้เลย

——————————————

รวมลิ้งค์ https://opl.to/drwarayuwadee

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.