Tag Archives: dermatologist

Extremolytes (Ectoin) ช่วยเสริมความสตรองของผิวได้อย่างไร วันนี้มาทำความรู้จักกัน

Role of Extremolytes (Ectoin) in Dermatology

1️⃣🟫 Extremolytes ถูกคิดค้นปี 1980 เป็น amino acid ที่สกัดจากชีวโมเลกุล Extremophilic organisms ที่อาศัยอยู่ใน Natrun Valley ประเทศอียิปต์ และต่อมาก็พบว่า สารนี้มักเจอในชีวโมเลกุลที่อาศัยอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่โหดจัด extreme มาก ๆ ไม่ว่าจะร้อนจัด เย็นจัด มลภาวะเยอะจัด แห้งจัด ยูวีเยอะจัด

🌟 ดังนั้น จึงมีการศึกษาวิจัยนำ Extremolytes มาผสมในสกินแคร์ ก็พบว่าช่วยให้ผิวสตรองมากขึ้น เสมือนกับชีวโมเลกุลข้างต้น ที่สามารถอาศัยอยู่ในสภาวะแวดล้อมอันโหดร้ายที่แทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นมีชีวิตรอดอยู่ได้เลย เรียกได้ว่าเป็น Stress protection molecule ที่ดีตัวหนึ่ง

2️⃣🟫 Ectoin คือ สารที่ผลิตได้จากแบคทีเรียชื่อ Halomonas elongata ถือเป็น naturally Osmolytes อย่างหนึ่งที่มีการศึกษามากมายทั้งในแง่ของการผสมในครีมบำรุงผิวหรือครีมกันแดด, ยาพ่นในระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งยาหยอดตา

🌟ทั้งนี้ เนื่องจาก Ectoin มีคุณสมบัติในการช่วยลดการอักเสบได้ ทั้งที่ผิวหนัง เยื่อบุทางเดินหายใจ และตา

3️⃣🟫 มีการศึกษาพบว่าผิวหลังทาสกินแคร์ที่มี Ectoin เมื่อทดสอบด้วย UVB แล้ว มีอิมมูนเซลล์ที่ผิว (Langerhan cells) ลดลงเพียงเล็กน้อย และยังพบ Sunburn cells ลดลงอย่างชัดเจน

🌟 ดังนั้น Ectoin จึงมีคุณสมบัติ ช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายด้วย UVB

4️⃣🟫 มีการศึกษาพบว่าผิวหลังทาสกินแคร์ที่มี Ectoin เมื่อทดสอบด้วย UVA แล้ว เซราไมค์ที่ผิวจะถูกสลายน้อยลงไปเรื่อย ๆ (dose-dependent) และยังพบ ICAM-1 น้อยลง บ่งบอกว่าการอักเสบของผิวน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ

🌟 ดังนั้น Ectoin จึงมีคุณสมบัติ ช่วยยับยั้งกระบวนการอักเสบของผิวที่เกิดจาก UVA ได้อีกด้วย

5️⃣🟫 มีการศึกษาวิจัยในคน Sensitive & Atopic skin โดยให้ทา 1% และ 4% Ectoin เช้าเย็น นาน 7 วัน พบว่า TEWL ลดน้อยลง (แบบ dose-dependent)

🌟 ดังนั้น คนผิวแห้งหรือแพ้ง่ายที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงของกำแพงผิว แนะนำ ectoin ที่มีความเข้มข้นอย่างน้อย 0.5-1% ขึ้นไป โดยทาเช้าเย็น จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงประมาณ 1 สัปดาห์

6️⃣🟫 มีการศึกษาพบว่าเมื่อทา 1% Ectoin เช้าเย็น นาน 12 วันขึ้นไป ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการตรวจวัดด้วยเครื่องมือ corneometry และหลังหยุดทาแล้วยังสามารถคงความชุ่มชื้นผิวอยู่ได้อย่างน้อย 7 วัน

🌟 ดังนั้น Ectoin จึงมีคุณสมบัติเป็น prolonged moisturizer ช่วยให้ความชุ่มชื้นผิวได้ยาวนาน ในงานวิจัยระบุอย่างน้อย 7 วัน แต่อย่างไรก็ตามคงต้องขึ้นกับสภาพผิวแต่ละบุคคล และ ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ที่มี Ectoin ในแต่ละยี่ห้อ

7️⃣🟫 Ectoin มีคุณสมบัติ anti-inflammatory effect จึงมีการนำมาใช้เพื่อ ช่วยบรรเทาอาการผิวหนังอักเสบจากสาเหตุหลายอย่าง

🌟 ดังนั้น จึงเป็นอีกทางเลือกในคนที่มีผิวหนังอักเสบ (Eczema) หรือในกลุ่มโรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Mild to moderate Atopic dermatitis) ที่อยากเลี่ยงการทาสเตอรอยด์บ่อย ๆ

8️⃣🟫 พบว่า การทาสกินแคร์ที่มีEctoin สามารถช่วยลดการเกิด Air pollution-induced hyperpigmentation ได้ และลด gene expression ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเสื่อมของผิวได้

🌟 ดังนั้น Ectoin-containing Skincare จึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากช่วย anti pollution และ anti aging ได้ดี

9️⃣🟫 ถึงแม้มีข้อมูลว่า Ectoin ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA, UVB ช่วยป้องกันผิวไหม้และลด aging skin ได้ แต่ปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาในแง่ SPF, PA ที่ชัดเจน

🌟 ดังนั้น แนะนำให้ทาครีมกันแดดร่วมด้วยเสมอค่ะ

🔟🟫 บางคนเรียก Ectoin ว่าเป็น All-in-One และ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการบำรุงผิว เพราะมีความสามารถ คือ

✔️ ปกป้องผิวจากการทำร้ายโดย UVA ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งผิวชรา ริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ

✔️ ปกป้องผิวจากการทำร้ายโดย UVB ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งผิวไหม้และหมองคล้ำ

✔️ ลดการระคายเคืองผิวจาก PM2.5 ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความแก่, ผิวอักเสบ, การกำเริบของผื่นผิวหนังบางชนิด

✔️ ช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนัง

✔️ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิวได้ยาวนานหลายวัน

🌟 ดังนั้น คุณสมบัติของEctoin ก็คือ “Antiaging + Antiinflammatory + Moisturizing + Barrier repairing effects”

โดยสรุป หากใครที่กำลังมองหาสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ Extremolytes (Ectoin) ขอแนะนำ ดังนี้ค่ะ

✅ 0.5% ขึ้นไป ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงกำแพงผิวได้ดี

✅ 1% ขึ้นไป มีคุณสมบัติเหมือน 0.5% และเพิ่มเติมคือ สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนานยิ่งขึ้นเป็นสัปดาห์

✅ 5-7% ขึ้นไป มีคุณสมบัติ anti-inflammatory effect (dose-dependent) แนะนำสำหรับคนที่มีปัญหาภูมิแพ้ผิวหนัง Atopic dermatitis, มีผื่นแพ้อักเสบผิวหนังต่าง ๆ หรือ คนที่ต้องการบำรุงผิวมากขึ้นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มลภาวะฝุ่น PM2.5 ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่มีในประเทศไทยที่มีงานวิจัยทางการแพทย์รับรองก็เช่น Resiskin เป็นต้น

References

Skin Pharmacol Physiol 2014; 27: 57–65.

Appl Microbiol Biotechnol 2006; 72: 623–634.

Clin Dermatol 2008; 26: 326–333.

Curr Pediatr Rev. 2019; 15(3): 191-195.

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️

Product mentioned

🌟 Resiskin by Qualisk

✔️ Germany Innovative Ingredient (Extremolyte) ที่สกัดจากธรรมชาติ ไม่มีสารกันเสีย

✔️ Skin barrier repair ช่วยเสริมความแข็งแรงของกำแพงผิว ช่วยปกป้อง บำรุงและฟื้นฟูผิวในหลอดเดียว

✔️ มีงานวิจัยรับรองประสิทธิภาพในผิวหนังมนุษย์

✔️ No Steroid, no fragrance

✔️ Safe for infant, children, adult

✔️ แนะนำในคนผิวธรรมดา, ผิวแห้ง, ผิวแพ้ง่าย, ผู้มีปัญหาผิวหนังอักเสบหรือภูมิแพ้ผิวหนัง

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่

Website: https://resiskin.com
FB: https://www.facebook.com/resiskin
Line: @ResiSKIN
#ผิวสตรองพร้อมทุกสถานการณ์

Sponsored by Resiskin

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

วิธีป้องกันเลือดออกหัวนม..นักวิ่งหรือนักปั่น

อาการนี้เกิดจากการ เสียดสีของหัวนมกับเสื้อวิ่ง ทำให้เกิดแผลจากการระคายเคือง มีอาการเจ็บหรือปวดแสบได้เพราะหัวนมเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดและเส้นประสาทมาเลี้ยงเยอะ

ความรุนแรงไม่เกี่ยวกับนมเล็กหรือใหญ่ ไม่เกี่ยวกับเพศหญิงหรือชาย มีรายงานว่าเจอได้บ่อยในคนที่ วิ่งระยะทางมากกว่า 50 กิโลเมตร/สัปดาห์

วันนี้ขอแนะนำวิธีป้องกันเลือดออกหัวนม

1. สวมเสื้อเส้นใยละเอียด ไม่หยาบกระด้าง ซึ่งปกติผ้าใยสังเคราะห์จะระคายเคืองน้อยกว่าผ้าใยธรรมชาติ

2. ทาวาสลีนที่หัวนมก่อนวิ่ง

3. ไม่สวมเสื้อหลวมเกินไป หรืออาจใส่สปอร์ตบราก็ช่วยได้

4. ใช้พลาสเตอร์แปะหัวนม อาจใช้พวกซิลิโคนหรือแบบผ้าที่ค่อนข้างเหนียว วิธีนี้อาจหลุดได้ถ้าหากมีเหงื่อออกในระหว่างวิ่ง

5. สุดท้าย ถอดเสื้อวิ่ง หรือ เจาะรูดังภาพ สามารถช่วยลดการเสียดสีได้ แต่ในเพศหญิงอาจไม่เหมาะกับวิธีนี้เท่าไหร่นัก

วิธีป้องกันเลือดออกหัวนมนักวิ่ง​
วิธีป้องกันเลือดออกหัวนมนักวิ่ง

หัวนมนักวิ่งบอบบางกว่าที่คิด หากเรารู้วิธีป้องกันให้ดี ก็จะสามารถวิ่งออกกำลังกายได้ยาววววๆๆๆไป
หากเกิดความผิดปกติดังภาพ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนังร่วมดูแล

ใครเคยเป็นบ้าง มีเสื้อผ้าดี ๆ มาแนะนำมาเล่าให้ฟังได้

หากคิดว่าบทความนี้เป็นประโยชน์ สามารถกดเลิฟกดแชร์ให้เพื่อนอ่านได้เลยค่าา ❤️

——————————————

อ่านบทความย้อนหลังที่ https://helloskinderm.com

รวมลิ้งค์ https://opl.to/drwarayuwadee

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Cleansing Tips By Dermatologist ‼️

How to ล้างหน้าให้สะอาดและถูกวิธี ‼️
Cleansing Tips by dermatologist

โพสนี้ขอเล่าเกี่ยวกับการล้างหน้าที่ถูกวิธีให้ทุกคนลองสำรวจดูว่า มีใครล้างหน้าไม่เหมาะสมก็ลองมาปรับกันดู แล้วจะรู้ว่าเพียงแค่ปรับการล้างหน้าให้ถูกวิธี ก็ทำให้หน้าใสและมีสุขภาพผิวดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะค่ะ

มาเริ่มกัน …

1. การล้างหน้าให้สะอาด ถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดก่อนจะเริ่มทาครีมบำรุงในขั้นตอนต่อไป เพราะสกินแคร์จะไม่สามารถซึมสู่ผิวและให้ประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ถ้าหากยังมีสิ่งสกปรกตกค้างขวางเอาไว้อยู่ คนส่วนใหญ่มักจะมองข้ามความสำคัญจุดนี้ไป
ดังนั้น เราควรปรับแนวคิด ให้ความสำคัญกับการล้างหน้าให้สะอาดมาเป็นอันดับต้น ๆ ของขั้นตอนในการดูแลผิว

2. มีงานวิจัยพบว่า การล้างหน้าวันละครั้งอาจไม่สามารถทำความสะอาดได้เพียงพอและทำให้เกิดสิวอักเสบมากขึ้นได้ ส่วนการล้างหน้ามากกว่า 2 ครั้งต่อวัน จะทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง แห้งตึง อักเสบง่าย และก่อสิวอุดตันตามมาได้
ดังนั้น การล้างหน้า 2 ครั้งต่อวัน ถือว่าเพียงพอ ยกเว้นมีการสกปรกอาจล้างเสริมได้ และการล้างที่เหมาะสมคือ แนะนำใช้มือสะอาดนวดวนเบา ๆ ไปตามรูขุมขนนานประมาณ 15-20 วินาที ไม่เร็วหรือนานจนเกินไป

3. ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับการล้างหน้า ควรมี pH ใกล้เคียงกับผิว คือ 4.5-5.75 หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ pH ต่ำเกินไป อาจก่อความระคายเคืองและผิวอักเสบได้ และหาก pH สูงกว่านี้ เช่น พวก soap ที่ฟองเยอะ หรือสบู่ก้อนล้างมือหรืออาบน้ำ เหล่านี้อาจทำให้ผิวแห้ง ตึง เกิดริ้วรอยก่อนวัยตามมาได้
ดังนั้น แนะนำ soap-free มีค่า pH เหมาะสม หลังล้างหน้าแล้วจะไม่รู้สึกแสบแดง แห้ง หรือตึงเอี๊ยด และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาสำหรับผิวหน้าโดยเฉพาะ

4. น้ำที่ใช้ล้างเพื่อทำความสะอาดผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ควรเป็นน้ำอุณหภูมิปกติหรืออุ่นเล็กน้อย ไม่ควรใช้น้ำร้อน หรือ เย็นจนเกินไป และต้องรู้ว่าน้ำเปล่ามีค่าความเป็นด่างค่อนข้างสูง อาจทำลาย skin barrier ได้
ดังนั้น ไม่แนะนำให้ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอย่างเดียวโดยไม่ใช้ cleanser และไม่แนะนำใช้น้ำร้อนเพราะจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นหลังล้างหน้า

5. น้ำหอม อาจก่อการระคายเคืองหรือแพ้ได้
ดังนั้น แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่มีน้ำหอม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพ้และระคายเคืองตามมา

6. มีงานวิจัยพบว่า Cleanser และ Cleansing oil สามารถล้างครีมกันแดดชนิด Non-waterproof ออกได้หมด แต่การล้างด้วยน้ำเปล่าเดี่ยว ๆ ไม่สามารถชำระล้างส่วนผสมของน้ำมันในครีมกันแดดชนิดนี้ได้ ทำให้หลังล้างน้ำเปล่าเดี่ยว ๆ จะยังรู้สึกเหนียวที่ใบหน้าอยู่
ดังนั้น หากใช้ Non-waterproof sunscreen ควรล้างด้วย Cleanser หรือ Cleansing oil ก็ได้ แต่ไม่ควรล้างน้ำเปล่าอย่างเดียว

7. มีงานวิจัยพบว่า Waterproof sunscreen หลังทาแล้วจะมีคุณสมบัติคล้ายครีมรองพื้นเคลือบผิวไว้เพื่อป้องกันน้ำและเหงื่อ จึงทำให้ไม่สามารถล้างออกให้สะอาดได้ด้วยน้ำเปล่าหรือ Cleanser ทั่วไป
ดังนั้น หากใช้ Waterproof sunscreen แนะนำให้ล้างด้วย Cleansing oil จึงจะสามารถชำระล้างออกได้หมดและป้องกันการเกิดสิวอุดตันตามมา ไม่แนะนำล้างด้วย Cleanser ธรรมดา

8. หากแต่งหน้า ก็คล้ายกับ Waterproof sunscreen ซึ่งไม่สามารถล้างออกด้วยน้ำเปล่าหรือ Cleanser ทั่วไป
ดังนั้น หากต้องการล้าง Makeup แนะนำให้ล้างด้วย Cleansing oil ดีกว่า Cleanser ธรรมดา

9. Double cleansing คือ การล้างหน้า 2 สเต็ป จะช่วยให้สามารถขจัดสิ่งสกปรก น้ำมัน เครื่องสำอาง หรือพวกครีมกันแดดชนิดกันน้ำได้ดี
วิธีการคือ

ขั้นตอนแรก อาจเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ

▫️Micellar water แนะนำในผิวแพ้ง่าย แต่ก็ใช้ได้ทุกสภาพผิว
▫️Cleansing oil แนะนำในคนแต่งหน้าหนา ใช้ครีมกันแดดหรือเครื่องสำอางชนิดกันน้ำ
▫️Cleansing balm แนะนำในคนผิวแห้งมาก เพราะไม่ระคายเคือง และยังเพิ่มความชุ่มชื้นผิว

จากนั้นตามด้วยขั้นตอนที่สอง คือ

▫️ล้างด้วย Cleanser ธรรมดา
ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้วิธี double cleansing ทุกคน แนะนำเฉพาะคนที่แต่งหน้าจัดหรือใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ชนิดกันน้ำ และแนะนำให้ใช้วิธีนี้สำหรับล้างหน้าตอนเย็น ส่วนตอนเช้าอาจล้างด้วย Cleanser ธรรมดาพอ เพื่อลดการ overwashing

10. มีงานวิจัยพบว่า ในกรณีแต่งหน้าหรือผิวหน้าสกปรกมาก การใช้อุปกรณ์หรือแปรงล้างหน้าไฟฟ้า Cleansing gadget ต่างๆ ร่วมกับ Cleanser ที่เหมาะสม สามารถช่วยลดการเกิดสิวอุดตัน สิวเสี้ยนได้ดี และทำความสะอาดผิวได้สะอาดมากกว่าการล้างหน้าด้วยมือเปล่า ส่งผลให้ครีมบำรุงที่ใช้สามารถออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น ผิวหน้าจึงดีขึ้นตามมา แต่การใช้บ่อยเกินไปจะยิ่งก่อให้เกิดความระคายเคืองตามมาได้
ดังนั้น Cleansing gadget อาจเป็นอีกทางเลือกที่ใช้ได้ในคนที่แต่งหน้าหนาและสิวอุดตันเยอะ โดยแนะนำให้ใช้แค่ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่วนในกรณีอื่น ๆ ก็อาจจะยังไม่จำเป็น

11. พบว่าหากใช้ Cleansing gadget ขณะสิวอักเสบ มีแผล มีโรคผิวหนังอักเสบอื่น ๆ ร่วมด้วย อาจทำให้ยิ่งเกิดการอักเสบและระคายเคืองมากขึ้น ผิวหน้าจะยิ่งแย่ไปใหญ่
ดังนั้น ไม่แนะนำให้ใช้ใน คนที่กำลังมีสิวอักเสบ โรคผิวหนังอักเสบ มีแผล ผิวบอบบาง หรือ ผิวหลังทำเลเซอร์

12. มีงานวิจัยพบว่าอุปกรณ์ล้างหน้าที่ใช้ระบบ T-Sonic pulsation 8,000 ครั้งต่อนาที สามารถขจัดสิ่งสกปรก น้ำมันส่วนเกินและเครื่องสำอางที่ตกค้างได้ถึง 99.5% และหากขนแปรงผลิตจาก Medical grade Silicone จะช่วยป้องกันการสะสมก่อตัวของเชื้อโรคได้ดีกว่ากลุ่มที่ผลิตจากไนลอน และขนแปรงที่ใช้ก็ควรนุ่มนวลเพื่อลดการระคายเคือง ในปัจจุบันมีหลายยี่ห้อใหม่ ๆ บางรุ่นสามารถปรับระดับความสั่นได้ เลือกระดับความนุ่มให้เหมาะกับสภาพผิวได้ เช่น LUNA3
ดังนั้น หากไม่มีข้อห้ามและอยากลองใช้ Cleansing gadget แนะนำเลือกยี่ห้อที่มีมาตรฐานผ่านการรับรอง, ผลิตจาก Medical-grade silicone, ขนแปรงนุ่มไม่ระคายเคือง กันน้ำได้ เพื่อลดการก่อตัวของเชื้อโรคอันเป็นบ่อเกิดการติดเชื้อตามมา และไม่ควรใช้ร่วมกับผู้อื่น

เป็นอย่างไรบ้างคะ มีใครที่ยังล้างหน้าไม่สะอาดบ้างไหม หวังว่าบทความจะเป็นประโยชน์ให้ทุกคนได้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวันนะคะ อ้อ..ที่สำคัญ อย่าลืมล้างมือให้สะอาดก่อนล้างหน้าด้วยและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำร้ายผิวนะคะ

References
J Dermatolog Treat. 2018 Nov; 29(7): 688-693.
J Cosmet Dermatol. 2019; 00: 1-5.
J Cosmet Dermatol. 2019; 1-6.
J Am Acad Dermatol. 2017; 76(6): Supp1,AB233.

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
Product mentioned
🌟 LUNA3 by Foreo Sweden 🌟
✔️ 2-in-1 : Cleansing & Firming mode
✔️ ขนแปรงนุ่ม ผลิตจาก Medical-grade Silicone มีให้เลือกตามสภาพผิว : สีชมพู (ผิวธรรมดา ผิวแห้ง), สีฟ้า (ผิวมัน ผิวผสม), สีม่วง (ผิวแพ้ง่าย)
✔️ ระบบ T-sonic pulsation 8,000 ครั้งต่อนาที ปรับได้ 16 ระดับ
✔️ Medical Claim มี User test study conducted at the Svetech Laboratory
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://foreo.se/w0q

Disclaimer: Content Sponsored by Foreo

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง & MEET FOREO Sweden
All rights reserved.

รวมวิธีแก้ 6 ปัญหาเท้านักวิ่ง

ปัญหาเท้านักวิ่ง runner

นักวิ่งทั้งหลายใครมีปัญหาเท้าแบบในรูปบ้าง ⁉️

1. ตาปลาและตุ่มน้ำพอง

เกิดจากการเสียดสีที่เดิมซ้ำ ๆ

วิธีแก้
• ควรเลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับรูปเท้า หรืออาจใช้ตัวแผ่นรองกันเสียดสีช่วยได้ ถ้าเป็นแล้วอย่าใช้กรรไกรสกปรกตัดหรือฝานเองเนื่องจากอาจติดเชื้อได้
• หากเท้าเริ่มหนาตัว แข็งด้าน อาจทาวาสลีน หรือ ครีมยูเรียบ่อย ๆ

2. เชื้อราที่เล็บที่ง่ามนิ้วที่เท้า

เกิดจากเหงื่อ ความอับชื้น

วิธีแก้
• ใส่รองเท้าที่พอดีกับเท้า ไม่แน่นจนเกินไป สวมรองเท้าคัทชูและถุงเท้าเท่าที่จำเป็นเพื่อลดการอับชื้น
• ใช้ antifungal spray พ่น หรือโรยด้วย antifungal powder ที่รองเท้าและถุงเท้าก่อนสวมใส่เป็นประจำ เช่น clotrimazole powder หรือ spray ช่วยลดกลิ่นเท้า และป้องกันการเกิดเชื้อราได้
• งดเดินเท้าเปล่า
• สวมรองเท้าอาบน้ำในที่สาธารณะป้องกันการติดเชื้อจากพื้น
• หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าผู้อื่น
• หลีกเลี่ยงการใช้กรรไกรตัดเล็บร่วมกัน

3. เลือดคั่งใต้เล็บ

เกิดจากกระแทกเสียดสีซ้ำ ๆ กับหน้ารองเท้า
ยิ่งวิ่ง Hard-core, long runner วิ่งที่ชัน เปลี่ยนทิศทางวิ่งจะเป็นได้บ่อย

วิธีแก้
• ตัดเล็บสั้นเสมอ ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุต่อเล็บ เล็บ
• ปรับรองเท้าให้เหมาะสม ไม่บีบหน้าเท้า ไม่หลวมเกินไป

4. เท้าเหม็นเป็นรู

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย บางรายอาจมีการติดเชื้อราแทรกซ้อนตามมาได้ เท้าจะเหม็นมาก

วิธีแก้
• ทายาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น Erythromycin gel, Clindamycin gel หากรุนแรงอาจต้องกินยาร่วมด้วย
• ทายา Benzoyl peroxide
• หากมีการติดเชื้อราแทรกซ้อน ทายาฆ่าเชื้อรา

5. เหงื่อเท้าออกมาก

วิธีแก้

• การรักษามาตรฐาน คือ ทายากลุ่ม 20% Aluminum chloride
• ฉีด botulinum toxin ลดเหงื่อ
• ปัจจุบันมีแบบแผ่นเช็ดหรือครีมทาลดเหงื่อก็ได้ผลดี สามารถใช้กับรักแร้ เท้า หลังได้หมด

6. ตุ่มปูดที่เท้า Piezogenic Pedal Papules

วิธีแก้
• ไม่มียารักษา ต้องลดการเดินหรือวิ่ง หรือลดน้ำหนักจะช่วยได้
• หากปวดมาก ไปพบแพทย์เพื่อฉีดยา

——————————————

อ่านบทความย้อนหลังที่ https://helloskinderm.com

รวมลิ้งค์ https://opl.to/drwarayuwadee

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

ไขความลับ 18 ข้อของ Azelaic acid

วันนี้มาดึก ไม่เวิ่นเว้อ เริ่มเลยแล้วกันค่ะ

1. AzA มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีที่ผิดปกติ (ย้ำ..!! เฉพาะเม็ดสีผิวที่ผิดปกติ) จึงสามารถใช้รักษาฝ้าและรอยดำได้ดี แต่ในคนที่เซลล์สร้างเม็ดสีผิวปกติดี และหวังผลจากการขาวขึ้นจากการใช้ AzA ก็อาจจะไม่ได้ผลเท่าไรนัก

2. การทา 20% AzA ต่อเนื่อง 3-4 เดือน ทำให้ฝ้าจางลงได้ ใกล้เคียง 4% Hydroquinone แต่ได้ผลดีกว่า 2% Hydroquinone

3. กรณีต้องการลดรอยดำ สามารถใช้ตั้งแต่ 15% AzA ขึ้นไป

4. การทา Retinoic acid ร่วมกับ AzA สามารถเสริมฤทธิ์ช่วยลดรอยดำได้ดีกว่าการทา AzA เดี่ยว ๆ แต่ระวังการระคายเคือง

5. AzA มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการอักเสบ, ลดการอุดตันของรูขุมขน และยังช่วยในการฆ่าเชื้อสิวและเชื้อแบคทีเรียบางชนิด (S.aureus, S.epidermidis) ได้ กลไกครอบคลุมขนาดนี้จึงสามารถ ใช้รักษาได้ทั้งสิวอักเสบและสิวอุดตันได้ทั้งคู่

6. AzA ฆ่าเชื้อ C.acne ได้ 2 กลไล คือ โดยวิธีการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโดยตรง และโดยการลดการสร้าง sebum ซึ่งเป็นอาหารของเชื้อ

7. สิวที่รักษาได้ผลดี คือ สิวในระดับความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง หากสิวหัวหนองที่รุนแรง อาจได้ผลไม่ดีนักจึงควรพบแพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนังเพื่อรักษาวิธีอื่นร่วมด้วย

8. การทา 20% AzA cream เช้าเย็น จะเริ่มเห็นผลชัดเจนในการรักษาสิวเมื่อใช้ต่อเนื่อง 2 เดือน และหากทาต่อเนื่อง 4 เดือนขึ้นไปผลใกล้เคียงกับการทายาสิวชนิดอื่น

9. ผลการรักษาสิวอุดตันด้วย 20% AzA เทียบกับ topical 0.05% tretinoin (4 เดือน) พบว่าลดสิวอุดตันได้ใกล้เคียงกัน และผลข้างเคียงจาก AzA น้อยกว่า

10. ผลการรักษาสิวอักเสบด้วย 15% AzA เทียบกับ 5% benzyl peroxide (3-4 เดือน) พบว่าไม่ต่างกัน การใช้ BPO อาจทำให้สิวอักเสบยุบได้เร็วกว่าเล็กน้อย และพบว่ากลุ่ม BPO พบมีการระคายเคืองมากกว่า

11. ยังไม่มีรายงานเชื้อดื้อยาจากการรักษาสิวด้วย AzA จึงเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับการใช้ยาทากลุ่ม topical antibiotics เช่น clindamycin, erythromycin ดังนั้น สามารถทาได้ต่อเนื่องยาวไปหากไม่มีผลข้างเคียงอะไร

12. AzA ยังมีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวอ่อน ๆ จึงได้ผลดีในการช่วยลดรอยแดงและรอยดำตามหลังการเกิดสิวได้อีกด้วย จึงทำให้สีผิวเนียนสม่ำเสมอขึ้น

13. AzA ยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและลด ROS ที่เกิดในชั้นผิวหนังได้ดี กลไลนี้จึงทำให้สามารถใช้รักษาภาวะ Rosacea ได้ผลดี

14. ผลข้างเคียงไม่ค่อยมาก ไม่ค่อยแพ้ และ ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น จึงสามารถทาได้ทั้ง เช้าหรือเย็น

15. อาจมีการระคายเคือง ยุบยิบ แสบได้เล็กน้อย ในผู้ที่เริ่มใช้ช่วงแรก อาการเหล่านี้จะค่อยดีขึ้นและหายไปหลังจากผิวมีการปรับสภาพ หากแสบมากแนะนำให้เริ่มทาเป็นบางบริเวณ หรือทาแล้วล้างออก ค่อยเพิ่มระยะเวลามากขึ้น จนสามารถทาทิ้งไว้ได้

16. การใช้รูปแบบทา 15-20% AzA พบว่าดูดซึม <4% จึงค่อนข้างปลอดภัย ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรที่มีปัญหาสิวหรือฝ้าในระหว่างนี้

17. การทาครีมกันแดดร่วมด้วยอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้การรักษาฝ้าได้ผลดียิ่งขึ้น

18. สามารถใช้ต่อเนื่องได้ยาว ๆ หากไม่มีข้อห้ามหรือผลข้างเคียงจากการใช้ และสามารถใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้ เพียงระวังเรื่องการระคายเคืองที่อาจมากขึ้น และเว้นระยะห่างการทาจากกลุ่ม Vitamin C หรือ AHA, BHA เนื่องด้วยเรื่องของ pH

ฟังไปฟังมาเหมือนจะได้ผลดีไปหมด ทั้งสิวอุดตัน สิวอักเสบ รอยแดง รอยดำ ฝ้า หน้าแดง หน้าก็เนียนใส ครอบจักรวาลจริงเหรอนี่
แต่ ๆๆๆๆๆๆ ….. อย่าลืมว่า ‼️

Azelaic acid

• ถึงแม้ฤทธิ์ในการรักษาจะค่อนข้างครอบคลุมหลายภาวะหลายกลไก แต่จัดว่า ออกฤทธิ์ไม่แรงมาก จึงเหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหลายอย่างปะปนกันแต่เป็นปัญหาที่ไม่รุนแรงเท่าไหร่นัก
• จะเห็นผลที่กล่าวมาข้างต้นได้ชัดเจนดีที่สุดตามงานวิจัย หากเมื่อใช้ในรูปแบบยา 20% azelaic acid
• หากบางท่านมีอาการระคายเคือง อาจลองใช้ในกลุ่มที่ผสมใน Dermocosmetics หรือเครื่องสำอาง ก็อาจได้ผล แต่อาจต้องใช้ความเข้มข้น 15-20% และต้องใช้ต่อเนื่องค่อนข้างนานกว่า ซึ่ง AzA ในเค้าเตอร์แบรนด์มีหลายยี่ห้อที่ได้ผลดีค่ะ มีทั้งเจล ครีม โลชั่น 🧴

ถ้ามีคนอยากรู้เยอะ -> พิมพ์อยากรู้ เดี๋ยวหาข้อมูลมาให้เพิ่มเติมค่ะ

อย่างไรก็ตามการรักษาภาวะเหล่านี้ ตามแนวทางการรักษาอาจต้องใช้ยาหลายอย่างร่วมกันจึงจะได้ผลดีที่สุด หมอก็แนะนำว่า… หากอยากลองทาก็จัดเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย ที่หาซื้อได้ แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น หรือไม่แน่ใจว่าเป็นสิว ฝ้า จริงหรือไม่ ก็ควรไปพบแพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนัง (Board-certified Dermatologist) เพื่อร่วมดูแลค่ะ

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
References
J Clin Aesthet Dermatol. 2018; 11(2): 28-37.
Br J Dermatol. 2013; 169 Suppl 3:4-56.
J Cosmet Dermatol. 2011; 10(4): 282-287.
J Drugs Dermatol. 2011; 10(6): 586-90.
Drugs 41(5): 780-798.


บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

ครีมยูเรีย..ทาหน้าได้ไหม ?

ครีมยูเรีย พูดชื่อแล้วบางคนอาจจะงง แต่ถ้าบอกว่า ครีมไดอะบีเดิร์ม, ศิริราชซอฟแคร์, ยูเซอรีนยูเรียรีแพร์ บลาๆๆ.. หลายคนคงร้องอ๋อออ

อีกคำถามที่ถูกถามมาเยอะว่า “ครีมยูเรีย..ใช้ทาที่หน้าได้มั้ย” สรุปง่าย ๆ ตามนี้เลย

ครีมยูเรีย urea cream moisturizer

ยูเรียเป็นส่วนประกอบหนึ่งในผิวหนัง

พบได้ประมาณ 7% ของ NMF (Natural Moisturizing Factor) ซึ่งอยู่ที่ผิวหนังชั้นกำพร้าของเรา ส่วนนี้จะทำหน้าที่ปกป้องผิว กักเก็บความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้แก่ผิว

ปริมาณของ urea ใน NMF จะลดลงไปตามอายุ ที่มากขึ้นเรื่อย ๆ

• หาก NMF ไม่สมบูรณ์ ผลคือ สูญเสียน้ำ เสียความยืดหยุ่น ทำให้ผิวแห้งกร้าน ลอก ในที่สุด

• ปัจจุบันที่การนำ urea มาผสมหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ครีม, โลชั่น, โฟม, อิมัลชั่น ประมาณ 5-20%

รายงานผลข้างเคียงจากการใช้น้อยมาก เรียกได้ว่าค่อนข้างปลอดภัย

ความเข้มข้นที่ต่างกันออกฤทธิ์ไม่เหมือนกัน

• หากต่ำกว่า 10% จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น (Moisturizing effect) จึงมักใช้ในพวกผิวแห้ง เช่น Xerosis, Ictyosis, Atopic dermatitis, Psoriasis
• หากเกิน 10% ขึ้นไป จะออกฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว (Keratolytic effect) มักใช้ในรอยโรคผิวหนังที่หนา เช่น Psoriasis ที่เป็นเยอะ หรือ ใช้กับที่เล็บ, รักษาหูด, ตาปลา ส้นเท้าหนาแตกด้าน

ดังนั้น การที่ครีมบางชนิดมี ความเข้มข้นมากขึ้นไม่ได้แปลว่าจะต้องดีกว่าเสมอไป ควรเลือกให้ถูกวัตถุประสงค์ เช่น หากนำ 20% มาใช้กรณีผิวแห้ง ก็อาจทำให้รอยโรคแย่ลงได้จากการผลัดลอกเซลล์ผิวมากขึ้นกว่าเดิม

ครีมยูเรียสามารถใช้ทาเดี่ยว ๆ เพื่อรักษาโรคทางผิวหนัง หรือทาเพื่อเพิ่มการดูดซึมของยาตัวอื่นได้

เช่น
• 10% urea ร่วมกับ hydrocortisone หรือ betamethasone-17-valerate ในการรักษาโรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis)
• 10% urea ร่วมกับ 1% hydrocotisone, 2% salicylic acid ในการรักษาโรคผิวแห้ง Ictyosis vulgaris
• 10-40% urea ร่วมกับ dithranol หรือ bifonazole ในการรักษาโรคสะเก็ดเงิน
• 40% urea ร่วมกับ 1% fluconazole ในการรักษาเชื้อราที่เล็บ

สรุปยูเรียถึงแม้จะค่อนข้างปลอดภัยไม่ค่อยมีรายงานผลข้างเคียง แต่มีข้อควรระวัง

• ใช้กับโรคผิวหนังเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวและช่วยให้เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วหลุดลอกออก ไม่ควรซื้อมาทาเล่นโดยไม่มีข้อบ่งชี้
• ระคายเคืองได้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการทาในที่ผิวบอบบาง เช่น เปลือกตา ริมฝีปาก อวัยวะเพศ รวมทั้งใบหน้า ยกเว้นหากรอยโรคหนาที่หน้าอาจใช้ได้ชั่วคราว และควรใช้ความเข้มข้นต่ำ ไม่แนะนำให้ใช้ต่อเนื่องนาน และหยุดทาเมื่ออาการดีขึ้นแล้ว
• หญิงตั้งครรภ์ เลี่ยงการทาบริเวณหน้าอก ป้องกันเวลาลูกกินนม เพราะยังไม่มีรายงานชัดเจนถึงความปลอดภัยในระหว่างให้นมบุตร
• หลีกเลี่ยงการทาในแผลเปิด
• บางรายสามารถแพ้ยูเรียได้ หากใช้แล้วมีผื่นคัน หรืออาการผิดปกติควรปรึกษาแพทย์

ครีมยูเรีย ประโยชน์มากมายและใช้ได้ผลค่อนข้างดี แต่หากใช้ไม่ถูกวิธีก็เกิดผลเสียตามมา โรคผิวหนังนั้นอาจแย่ลง ก่อนซื้อมาใช้เองควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอว่ารอยโรคนั้น ๆ มีข้อบ่งชี้สำหรับครีมยูเรียหรือไม่ อย่าลืมว่า..เหรียญมีสองด้านนะคะ

ด้วยความปรารถนาดี

——————————————

Reference
Topical urea in skincare: A review
Dermatilogy Therapy 2018; e12690.

——————————————

อ่านบทความที่ www.helloskinderm.com

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Novel therapy in acne

เดี๋ยวจะไปประชุมและดูงานที่เกาหลีเกี่ยวกับการรักษาสิวใหม่

ใครอยากรู้อะไรมาทิ้งคำถามไว้นะ เกี่ยวกับการรักษาสิวด้วยสิ่งเหล่านี้ที่กำลังมาแรง
ดูข้อมูลคร่าว ๆ มาให้อ่านเป็นน้ำจิ้มกันก่อน

💭 Daylight photodynamic with ALA gel
อันนี้เด็กก็ใช้ได้ สำหรับคนไม่อยากกินยาฆ่าเชื้อและกรดวิตามินเอชนิดรับประทาน

💭 Gold microparticle therapy
สำหรับสิวชนิดรุนแรง

💭 Oral supplement with myo-inositol
สำหรับคนไม่อยากกินยาคุมและยาฆ่าเชื้อ กลไก คือ ตัวนี้ช่วยลดฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และลด insulin-resistance

💭 Probiotics
เสริมการรักษาอื่นเพื่อช่วยลดการอักเสบของสิว

💭 Clascosterone
เป็นยาทาในกลุ่ม Topical antiandrogen therapy กำลังอยู่ใน phase III trial

ใครอยากรู้ต้องรอติดตาม


When in doubt,
Ask your Board-certified Dermatologist

Copyright ©👩🏻‍⚕️HELLO SKIN by หมอผิวหนัง