Tag Archives: dermatologist

เทรนด์รักษาสิวยุคใหม่

การรักษาสิว เหมือนจะไม่มีอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้ง่ายซะทีเดียว เพราะ Guideline ก็ส่วนหนึ่งที่ให้เรายึดตามแนวทาง แต่การปรับใช้กับคนไข้นั้นเป็นศาสตร์และศิลป์เพราะผิวแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ปัจจุบันยารักษาสิวยังไม่มีอะไรเพิ่มเติมไปจากเดิมเท่าไรนัก แต่แนวโน้มการรักษาก็จะประมาณนี้

1. ยาทากรดวิตามินเอ : ใช้ทุกรายหากไม่มีข้อห้าม หายแล้วยังแนะนำให้ใช้ต่อแบบห่าง ๆ ช่วยป้องกันได้
2. เบนซิลเปอออกไซด์ : ใช้ในสิวอักเสบจะดี ไม่ต้องใช้ทุกราย
3. กลุ่มฮอร์โมน : ได้ผลดีใน ผญ ที่มีลักษณะฮอร์โมนผิดปกติ
4. ยากินกรดวิตามินเอ : ยังไม่ปรับ Guideline แนะนำใช้เมื่อจำเป็น แนวโน้มมาทางใช้แบบ low dose
5. ยาฆ่าเชื้อกิน/ทา : ใช้เมื่อจำเป็น ไม่ใช้เดี่ยวๆ ลดเชื้อดื้อยา
6. ปรับพฤติกรรมการดูแลผิวที่เหมาะสม : ยืนหนึ่ง! ต้องปฏิบัติตัวควบคู่กับการรักษาด้วยยา
7. เลเซอร์และแสงรักษาสิว & ยากลุ่มใหม่ ๆ : รอติดตาม
8. ยาอื่น : ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาตามสภาพผิว บนพื้นฐานแนวทางรักษาที่ได้มาตรฐาน

หากใครเป็นสิวเรื้อรัง เป็นสิวไม่หายสักที แนะนำปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังร่วมประเมินนะคะ หมอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ประสบปัญหาสิวค่ะ

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

สกินแคร์แต่ละกลุ่มต่างกันอย่างไร

ลองดูตามนี้คร่าว ๆ นะคะ

ส่วนการพิจารณาเลือกคงเป็นเรื่องของตัวบุคคล และขึ้นกับปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข เพราะปัญหาบางอย่างอาจต้องใช้ยาที่สั่งการรักษาด้วยแพทย์ บางอย่างสามารถใช้คอสเมติกส์ตามท้องตลาดก็เห็นผลได้ค่ะ

1. กลุ่มยา
ต้องสั่งจ่ายและควบคุมการใช้โดยแพทย์เฉพาะทาง เพราะความแรงสูง ประสิทธิภาพดีที่สุด แต่ผลข้างเคียงตามมาก็มากเช่นกัน

2. กลุ่มเดอโมคอสเมติกส์
ประสิทธิภาพเกือบเท่าหรือบางตัวเทียบเคียงกลุ่มยา แต่ผลข้างเคียงน้อย ส่วนใหญ่มักมีจำหน่ายในโรงพยาบาลหรือคลินิกแพทย์เฉพาะทาง ปัจจุบันคนให้ความสนใจกลุ่มนี้มากขึ้น

3. กลุ่มคอสเมติกส์
กลุ่มนี้ปลอดภัย ใช้ได้ผล แต่ต้องยอมรับว่าไม่เท่า 2 กลุ่มแรก และสามารถหาซื้อได้ แต่มีเรื่องการตลาดเข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก แนะนำศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนเลือกซื้อ

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

รวบรวม Effaclar เพื่อนคู่ใจชาวสิว

อีกคำถามที่เจอบ่อยมากจากคนที่ประสบปัญหาสิวที่คอลมาปรึกษา คือ Effaclar ต่างกันอย่างไร ⁉️

หมอเลยสรุปมาเทียบให้ตามตารางนี้ค่ะ
เอาเป็นว่า ใครที่มีปัญหาไหนเด่น ก็ลองดูตามนั้น

1. กลุ่มสกินแคร์

K+ ▶️ เหมาะคนที่มีสิวอุดตันเป็นหลัก
Duo+ ▶️ เหมาะคนที่เยอะแยะไปหมด ทั้งสิวอักเสบ สิวอุดตัน รอยแดง รอยดำ ผิวมัน รูขุมขนกว้าง
MAT ▶️ เหมาะคนผิวมัน รูขุมขนกว้าง ไม่ค่อยมีสิว
Serum ▶️ เหมาะคนที่สิวอุดตันหนักมากไม่หมดสักที สิวอักเสบร่วมด้วย

2. กลุ่มล้างหน้า

ทั้งคู่เป็น Physiological pH, Soap-free
Gel ▶️ เหมาะผิว Acne-prone ที่ระคายเคืองง่าย
Micro-peeling ▶️ เหมาะผิวมัน มีสิวอุดตันและอักเสบ

อย่างไรก็ตาม การรักษาสิวตามแนวทาง คือ การรักษาด้วยยาเป็นหลัก ส่วนผลิตภัณฑ์ข้างต้นและเดอร์โมคอสเมติกส์ทั้งหลายถือเป็นการรักษาเสริมในการรักษาสิว เพื่อให้ประสิทธิภาพของการรักษาสิวดียิ่งขึ้นค่ะ

หากเป็นสิวเรื้อรัง สิวรุนแรง แนะนำพบแพทย์เฉพาะทางผิวหนัง เพื่อตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาอย่างถูกวิธีนะคะ


บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

“เหงื่อออกมากไป” ทำอย่างไรดี ?

ใครบ้างที่มีปัญหาเหงื่อออกเยอะจนรบกวนชีวิตประจำวัน ‼️

หมอกำลังจะเล่าถึง การรักษาภาวะเหงื่อออกมากเกินไป หรือที่เรียกว่า Hyperhidrosis (HH) ไม่เหมือนกับภาวะที่ทำให้มีกลิ่นตัวเหม็นนะคะ —> คนละอย่างกัน ❌

สำหรับประชาชนทั่วไป —> อ่าน 🧿
สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ —> อ่าน 🧿💠

เรื่องที่น่ารู้มีดังนี้

1🧿 หากสงสัยว่ามีภาวะเหงื่อออกมากไป ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ เช่น
• ภาวะอ้วน
• วัยทอง
• ต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติ
• เบาหวาน
• โรคติดเชื้อบางชนิด
• โรคหัวใจ
• โรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
เพราะการรักษาส่วนหนึ่งต้องแก้ไขที่สาเหตุร่วมด้วย มิฉะนั้นแล้วการรักษาที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็อาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร

2🧿 บางคนอาจไม่มีสาเหตุอะไรเลยก็ได้ กลุ่มนี้มักเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุน้อยกว่า 25 ปี อาจมีคนในครอบครัวเป็นเหมือนกัน ถึงแม้เป็นภาวะที่ไม่ได้อันตรายร้ายแรง แต่หมอเข้าใจดี ว่าเป็นเรื่องที่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากพอสมควร และควรได้รับการรักษา

3🧿 ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะกระตุ้นเหงื่อให้ออกมากกว่าเดิม เช่น
❌ อยู่ในที่แออัด
❌ เครียด หงุดหงิด อารมณ์เสีย
❌ ทานอาหารรสเผ็ด กระเทียม หัวหอม เครื่องเทศ
❌ ดื่มแอลกอฮอล์

4🧿 แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ระบายอากาศ ไม่คับเกินไป รักษาเท้าให้แห้ง เปลี่ยนถุงเท้า ไม่ใช้ซ้ำ เปลี่ยนรองเท้าสลับคู่ อาจโรยผงแป้งลดเหงื่อที่เท้าจะช่วยได้

5🧿 การรักษาบางอย่าง อาจเหมาะกับการรักษาภาวะเหงื่อออกมากในบางบริเวณ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณา

Reference : J Am Acad Dermatol 2019;81:669-80.

6🧿 ผลิตภัณฑ์ลดเหงื่อ (Topical antiperpirants) ใช้ง่ายที่สุด ใช้ได้ที่ฝ่ามือฝ่าเท้า รักแร้ ศีรษะ ที่นำมาใช้บ่อยสุด คือ Aluminium chloride hexahydrate ลองอ่านเพิ่มได้ในรีวิวที่หมอเคยเขียนไปค่ะ

7🧿 ผลิตภัณฑ์ลดเหงื่อที่มีส่วนผสมของ aluminium พบว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดอัลไซเมอร์และมะเร็งเต้านม

8🧿 ยารับประทานที่ทำให้เหงื่อลดลง ใช้ได้กับเหงื่อออกมากทุกบริเวณในร่างกาย แต่แนะนำให้ใช้กรณีเป็นรุนแรงและยาทาไม่ได้ผล แต่กลุ่มนี้อาจพบมีผลข้างเคียง เรื่อง ตาแห้ง ปากแห้ง วิงเวียน ตามัว ปัสสาวะไม่ออก

💠 Non FDA-approved for generalized & multifocal HH
💠 ยาที่ใช้ คือ Anticholinergic agents, Antiparkinson drugs, Phenothiazine, TCA
💠 Glycopyrrolate ใช้บ่อยสุดในการรักษาภาวะนี้ ไม่ผ่าน BBB ผลข้างเคียงน้อย เริ่มต้น 1-2 มก 2 ครั้ง/วัน
💠 Oxybutinin เริ่ม 2.5 มก ต่อวัน เพิ่มจนถึง 10-15 มก ต่อวัน
💠 Maximum efficacy ในการปรับยา คือ 1 สัปดาห์
💠 ยาอื่นที่มีรายงานได้ผล คือ Indomethacin, Clonidine, Ca-chanel blocker

9🧿 กรณีเป็นเหงื่อออกมากเวลามีความเครียด ตื่นเต้น วิตกกังวล สามารถใช้ยากลุ่ม beta blocker, benzodiazepine

10🧿 การรักษาด้วยไอออนโตฟอรีซิส ใช้ได้สำหรับเหงื่อออกมากที่ฝ่ามือฝ่าเท้า มีแบบพกพาไว้ทำที่บ้านได้ ไม่อันตราย ยี่ห้อที่รองรับ ได้แก่
✔️ RA Fischer
✔️ Hidrex USA
✔️ Drionic
ทำ 3-4 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ครั้งละ 20-30 นาที
ใช้กระแส 15-20 mA
เห็นผลหลังทำ 6-15 ครั้ง และผลคงอยู่นาน 2-14 สัปดาห์ หลังจากนั้นทำต่อไปทุก 1-4 สัปดาห์แล้วแต่คน
หลังทำช่วงแรก อาจมีเหงื่อออกมากขึ้นไปเป็นเรื่องปกติ ก่อนที่เหงื่อจะเริ่มลดลง
ห้ามทำในคนท้อง, โรคหัวใจ, ลมชัก, ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ
ผลข้างเคียง : มือแห้ง ชา ตุ่มน้ำ รักษาได้ด้วยยาทาสเตอรอยด์และครีมบำรุงผิว และลดความแรงกระแส

💠 FDA-approved for palmar and plantar HH

11🧿 การฉีดโบท็อกซ์ลดเหงื่อ
ฉีดในบริเวณที่เหงื่อออกมาก เป็นวิธีที่นิยมและได้ผลดี
เหงื่อเริ่มลดใน 2-4 วัน เห็นผลชัด 2 สัปดาห์หลังฉีด
ผลคงอยู่ได้นาน 4-6 เดือน

💠 FDA-approved onabotulinum toxin-A for severe axillary HH
💠 Dermal-subcutaneous injection (2.5 mm below the skin) 1-2 cm apart

12🧿 อุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้รักษาเหงื่อออกรักแร้ ควรต้องไปปรึกษาแพทย์พิจารณา ได้แก่
✔️ ไมโครเวฟ : ยี่ห้อ Miradry (FDA-approved)
เห็นผล 90% ผลคงอยู่นาน >12 เดือน
✔️ อัลตร้าซาวน์
✔️ Fractional microneedle radiofrequency
✔️ เลเซอร์

13🧿 การผ่าตัดหรือจี้ปมเส้นประสาทอัติโนมัติ ใช้กรณีที่การรักษาข้างต้นไม่ได้ผล แนะนำให้ปรึกษาศัลยแพทย์ร่วมดูแลรักษาค่ะ
วิธีนี้ได้ผลค่อนข้างดี 70-90% พบว่าที่มือเห็นผลชัดเจนสุด
หลังรักษาอาจพบว่า
✔️ บางรายกลับมาเป็นซ้ำได้ 0-65%
✔️ บางรายอาจมี compensatory sweating กลไกร่างกายตอบสนองให้หลังเหงื่อออกมากขึ้นที่บริเวณอื่น เช่น ก้น หลัง หน้าท้อง ขา แต่พบไม่บ่อย และสามารถแก้ได้ด้วยยาทา หรือ โบท็อกซ์เฉพาะจุด

💠 Endoscopic thoracic sympathectomy
T2 and T3 ganglia –> Palmar
Above 3rd rib –> Craniofacal
T3 and T4 ganglia –> Axillary
💠 Endoscopic lumbar sympathectomy
L3/4 ganglia –> Plantar

สุดท้ายที่อยากฝากไว้

หากสงสัยว่าตัวเองมีเหงื่อออกมากผิดปกติ จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น มือเปียก รองเท้าเปียก รักแร้เปียกจนเสื้อชุ่ม เหงื่อที่ศีรษะออกมากจนไหลท่วมหน้า แต่งหน้าไม่ได้เลย หมอแนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเพื่อตรวจหาสาเหตุ แก้ไขให้ตรงจุด จะได้ไม่ทรมานอีกต่อไปค่ะ

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
Reference

The etiology, diagnosis, and management of hyperhidrosis: A comprehensive review
Therapeutic options
J Am Acad Dermatol 2019;81:669-80.

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Melasma : Topical Treatment

สรุป 5 ยาทารักษาฝ้า

ยาทาภายนอก ถือเป็นการรักษาหลักของการรักษาฝ้า
ถ้าหากยังได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร จึงพิจารณาเพิ่มเติมการรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วยได้

ยกตัวอย่างยาทา ได้แก่

1. Hydroquinone

ช่วยยับยั้งเอนไซม์ในกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน มีผลลดการสร้างและเพิ่มการสลายเมลาโนโซม
ความเข้มข้นที่ใช้รักษาฝ้า คือ 2-5%
หากทาครีมกันแดดร่วมด้วย จะเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาฝ้าได้ดีขึ้น
💢 ระวังการเกิด confetti-liked hypopigmented macule (รอยจุดขาว) หรือ exogenous ochronosis (รอยจุดน้ำตาลอมเทา อาจนูนวาวเป็นตุ่มคล้ายไข่คาเวียร์) มักพบบ่อยในคนสีผิวเข้ม ใช้ความเข้มข้นสูง และใช้แบบ HQ alcoholic solution
💢 ควรระมัดระวังการใช้ เป็นยาควบคุมการสั่งจ่ายโดยแพทย์

2. Retinoids

ช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ช่วยผลัดเซลล์ผิวร่วมด้วย
ยาที่มีข้อมูลช่วยเรื่องฝ้า เช่น 0.1 Adapalene gel, 0.05-0.1% Tretinoin cream
💢 ระวังผลข้างเคียง ผิวแห้ง แดง แสบ คัน บริเวณที่ทา

3. Azelaic acid

ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี ลดการอักเสบ
เป็นยาที่สามารถใช้รักษาได้ทั้งสิวและฝ้า
ความเข้มข้นที่ใช้ คือ 20% cream
💢 ระวังการระคายเคือง แสบ บริเวณที่ทา มักมีอาการช่วงแรกของการเริ่มใช้ และจะค่อยดีขึ้น

4. HQ + TCs + Retinoids (Triple combination)

เป็นยาสูตรผสม 3 อย่าง ต้นแบบคือ Kligman’s formula (5% HQ + 0.1% Tretinoin + 0.1% Dexamethasone)
กลุ่มนี้มีข้อมูลว่า การใช้ทา 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ หลังการรักษาฝ้าจางลงแล้ว จะช่วยป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้อย่างน้อย 6 เดือน

5. Topical Methimazole 5%

เชื่อว่ายับยั้งเอนไซม์สร้างเม็ดสีได้ อย่างไรก็ตามยังมีข้อมูลไม่มาก ต้องรอติดตามต่อไป

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
References
J Cosmet Dermatol. 2020; 19: 167-172.
Indian J Dermatol Venereol Leprol. 2013; 79: 701-2.
J Eur Acad Dermatol Venereol. 2012; 26: 611-18.
J Cosmet Dermatol. 2005; 4: 55-59.
Cutis 2003; 72: 67-72.
J Dermatol 2002; 29: 539-40.
ฝ้าและการรักษา melasma อ.วาสนภ

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

6 วิธีเอาชนะสิวเครื่องสำอาง (Acne cosmetica)

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สิวชนิดนี้เกิดจากการอุดตันจากการมีเครื่องสำอางตกค้าง มักมีลักษณะเป็นสิวผดเล็ก ๆ บริเวณหน้าผาก แก้ม คาง มักเกิดอาการหลังใช้หรือเปลี่ยนเครื่องสำอางประมาณ 1-2 สัปดาห์ และอาการดังกล่าวมักดีขึ้นเมื่อหยุดใช้เครื่องสำอาง แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ข้อห้ามของการแต่งหน้าในอนาคตนะคะ

แต่เราควรมีวิธีปฏิบัติตัวเพื่อลดการเกิดสิวตามมาได้หลายวิธี

  1. เลือกเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการอุดตันน้อย โดยมากมักระบุ oil-free, won’t clog pores, non-comedogenic
  2. ล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2 ครั้ง เช้า ก่อนนอน ด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน ปราศจากน้ำมัน และมีความสามารถทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึกโดยใช้ปลายนิ้วนวดวนที่ใบหน้าเบา ๆ และควรหลีกเลี่ยงการขัดสครับที่ผิวหน้า
  3. กรณีที่แต่งหน้า ควรใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดล้างเครื่องสำอางให้สะอาดก่อนทำการล้างหน้าให้สะอาดอีก 1 ครั้ง
  4. การแต่งหน้าที่ถูกต้องควรแต่งเบา ๆ ด้วยแปรงแต่งหน้าที่มีขนนุ่ม เพื่อลดการระคายเคืองผิว
  5. ทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าทุกสัปดาห์ และหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์แต่งหน้าร่วมกับผู้อื่น
  6. หากมีภาวะ Acne cosmetica ควรหยุดใช้เครื่องสำอางทุกชนิด รักษาสิวให้หายก่อนด้วย Benzyl peroxide, Salicylic acid, Adapalene โดยส่วนมากมักดีขึ้น 4-8 สัปดาห์

❌❌❌ ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่ควรหลีกเลี่ยง ❌❌❌

เนื่องจากมักก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขนและก่อสิวตามมา ได้แก่ lanolin, vegetable oils, pure chemical เช่น butyl stearate, lauryl alcohol, oleic acid, tars, chlorinated oils เป็นต้น

❤️ การล้างหน้าให้สะอาด ยังเป็นสิ่งที่หมอเน้นย้ำเสมอ
❤️ ผลิตภัณฑ์เช็ดล้างเครื่องสำอาง ยังคงแนะนำให้ใช้ในคนที่แต่งหน้าร่วมด้วยค่ะ

หากอาการดังกล่าวเป็นมากขึ้น ควรพบแพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธีนะคะ

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
References
Fitzpatrick’s Dermatology in General Medicine 7th edition
Dermatology 2013; 226(4): 337-41.
Arch Dermatol. 1972; 106(6): 843-850.
AAD.org
Picture was licensed by freepik


บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Plant-based Complex Anti-aging Skincare 🌳

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสเข้าร่วมงานอีเว้นท์ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกลุ่มที่ช่วยชะลอวัยและฟื้นฟูผิวที่ได้จาก Botanical Bud Negtar ก็เลยได้มีโอกาสกลับไปทบทวนและอัพเดทเพิ่มเติม และมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับ Plant-based Complex Anti-aging Skincare และ เรื่องของ Bud Nectar ในโพสนี้ 5 ข้อสรุปสั้น ๆ ลองอ่านดูกัน…

ก่อนอื่นต้องขอบคุณทางแบรนด์อีฟโรเช่ Yves Rocher ที่เชิญร่วมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Yves Rocher Anti-age Global Super Serum ในครั้งนี้ค่ะ

1.🌿 ปัจจุบันมีเทรนของคอสเมติกส์กลุ่มฟื้นฟูผิว ที่ทำมาจาก Plant-based complex มากขึ้น อันที่จริงแล้วข้อมูลวิจัยเกี่ยวกับ Plant stem cells มีมานานพอสมควร ข้อมูลส่วนใหญ่ไม่ใช้สเต็มเซลล์ที่มีชีวิตใส่ลงในเครื่องสำอางโดยตรง เพราะจะไม่สามารถแบ่งตัวและมีชีวิตได้ ที่สำคัญอาจปนเปื้อนได้ แต่มักจะใช้การเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ที่ได้จากพืชในหลอดทดลอง แล้วนำสารสกัดที่ได้มาผสมในเครื่องสำอางอีกที ซึ่งก็พบว่าได้ผลเช่นกัน

🌟 กลุ่ม Plants ที่มีข้อมูลในเรื่องผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ยกตัวอย่างเช่น

🛑 Mirabilis jalapa
🛑 Indian gooseberry fruit (Phyllanthus emblica)
🛑 Grapes (Vitis vinifera)
🛑 Lilacs (Syringa vulgaris)
🛑 Swiss apples (Uttwiler spatlauber)

และอื่น ๆ อีกมากมาย

2.🌿 กลไลที่เคลมว่า Plant-based Complex ส่งผลด้าน Anti-aging effect ต่อผิวหนัง นั้นเป็นเพราะมีองค์ประกอบของ Anti-oxidants และ Anti-inflammatory compounds อยู่มาก จึงทำให้มีฤทธิ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ขึ้นกับชนิดของ Plants

ได้แก่

  • Photoprotective effects

ช่วยปกป้องและลดการทำร้ายผิวจากอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสียูวี พูดง่าย ๆ ว่าเป็น Antioxidative properties อย่างหนึ่งที่ช่วยป้องกันการทำลายคอลลาเจนจากสารอนุมูลอิสระ

  • Anti-inflammatory effects

ช่วยลดการอักเสบของผิวหลังจากมีปัจจัยต่าง ๆ มากระตุ้นการอักเสบผิว

  • Anti-Elastase, MMP and Hyaluronidase Properties

ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่มาทำลายโครงสร้างผิว เช่น อิลาสติน คอลลาเจน ไฮยารูรอน

  • Anti-wrinkle effects

ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ต่าง ๆ (Improved cell renewal) เช่น ไฟโบรบลาสต์ จึงส่งเสริมการสร้าง collagen, elastin, hyaluronic acid มากขึ้น

🌟 ดังนั้น โดยรวมจึงส่งผลให้ผิวแลดูมีสุขภาพดี เรียบเนียน และริ้วรอยเล็ก ๆ ดูลดลง

3.🌿 Botanical Bud Nectar คือ ส่วนของน้ำหวานเข้มข้นที่ได้จากหน่อยอดอ่อนของดอก Syringa (ซิริงกา) หรือ Lilac (ไลแลค) [ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Syringa vulgaris เป็นพืชดอกที่อยู่ในตระกูลมะกอก (Oleaceae) มีต้นไม้ร่วมตระกูลคือ มะลิ]

🌟 ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้มีการแตกหน่อใหม่ได้อย่างไม่สิ้นสุด ดังนั้น ดอกไวท์ไลแลค จึงสามารถเจริญเติบโตแม้ในสภาพอากาศที่เลวร้ายที่สุด เพราะสามารถกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ด้วยตัวเองได้เรื่อย ๆ ตลอดเวลา

🌟 จึงเป็นที่มาของการนำสารสกัด Bud Nectar มาเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ที่ใช้บำรุงผิว เพื่อหวังผลในแง่ Anti aging effect ‼️

4.🌿 วิธีการสกัดเอา Bud Nectar ออกมาเพื่อผสมในสกินแคร์ เรียกว่า Gemmotherapy (เจมโมเทอราปี) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง (นวัตกรรมเฉพาะของอีฟ โรเช่) โดยมีขั้นตอน ดังนี้

• สกัดเซลล์ตัวอย่างจากหน่อยอดอ่อนของดอกไวท์ไลแลคเพียงครั้งเดียว

• คัดเลือกเซลล์ที่สมบูรณ์

• กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ (ในหลอดทดลอง) จากเซลล์ที่คัดเลือกมา

🌟 สุดท้ายแล้วจะได้เป็นสิ่งที่เรียกว่า Botanical Bud Nectar เพื่อนำไปผสมในสกินแคร์

🌟 ยกตัวอย่างสกินแคร์กลุ่มฟื้นฟูผิวที่มี Bud Nectar ที่ได้มาตรฐาน เช่น Yves Rocher Anti-age Global Super Serum ซึ่งตัวนี้จะมีส่วนผสมของ Oil Booster (Jojoba oil, Grapeseed oil และ Squalene) ซึ่งมีการทดลองพบว่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการซึมของ Bud Nectar และกระจายสู่ผิวชั้นลึกได้ดียิ่งขึ้น

5.🌿 เรื่องของ Natural Oils เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจ ซึ่งมีหลายหลายชนิดและก็มีคุณสมบัติต่างกันออกไป ยกตัวอย่างที่นิยมผสมในสกินแคร์ เช่น

  • Grape Seed Oil เป็นตัวที่มีไขมันดี Linoleic acid มากที่สุดในบรรดา Natural Oils ทั้งหมด ซึ่งจะช่วยซ่อมแซมกำแพงผิว ลดการอักเสบ และยังมี Vitamin E, Phenolic compound ซึ่งช่วยเรื่อง Antioxidation ได้อย่างดี และยังมีข้อมูลว่าช่วยลดการระคายเคืองจาก sodium lauryl sulfate ได้อีกด้วย
  • Jojoba Oil เป็นตัวที่คล้ายคลึงกับน้ำมันผิวตามธรรมชาติมากที่สุด นอกจากจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ ซ่อมแซมกำแพงผิวแล้ว ยังจัดเป็น Potent antioxidants ที่ช่วยเรื่องฟื้นฟูผิวได้ดีมาก อีกทั้งยังมีข้อมูลในการนำมาผสมในสกินแคร์เพื่อเพิ่มการดูดซึมให้ดียิ่งขึ้นได้

🌟 ดังนั้น จึงมักเห็นออยล์ที่ยกตัวอย่างข้างต้น ถูกนำมาผสมในสกินแคร์กลุ่มที่ช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิว เพราะนอกจากคุณสมบัติข้างต้นแล้ว ยังมีขนาดโมเลกุลเล็ก ดูดซึมได้ดี ไม่ทิ้งความมันที่ผิว ไม่ค่อยเกิดการอุดตันรูขุมขน

🪴🪴🪴 ปัจจุบันแนวโน้มของการใช้สกินแคร์กลุ่มฟื้นฟูผิว เพื่อการบำรุงผิวมีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกลุ่ม Plant Stem cell-based เพราะมีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องของ Anti-oxidant และ Photoprotection ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยชะลอให้ความเสื่อมของผิวเราเกิดขึ้นได้ช้าลง เพื่อผลลัพธ์ในเรื่องของความอ่อนเยาว์อย่างที่หลาย ๆ คนต้องการ

🪴🪴🪴 อย่างไรก็ตาม การใช้สกินแคร์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดูแลผิว เพื่อให้ผิวของเรามีสุขภาพดีและน่ามอง ซึ่งคงต้องทำควบคู่ไปกับวิธีการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การออกกำลังกาย การทานอาหารที่มีประโยชน์ งดสูบบุหรี่ การปกป้องผิวจากแสงแดดร่วมด้วยอย่างถูกวิธี ทั้งนี้เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่า

🪴🪴🪴 แล้วคุณล่ะ .. เริ่มดูแลผิวอย่างถูกวิธีแล้วหรือยัง ไว้ตอนหน้าจะมาเล่าเรื่อง Natural Oils ในสกินแคร์เพิ่มเติมอีก ใครอยากรู้ต้องรอติดตาม ☺️

References:

3 Biotech. 2020 Jul; 10(7): 291.

Am J Clin Dermatol. 2018; 19: 103–117.

Int. J. Mol. Sci. 2018 ;19: 70.

Curr Pharm Biotechnol. 2017; 18(11): 864-876.

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️

Product Mentioned

🌟Yves Rocher Anti-age Global Super Serum🌟

🌳 มีส่วนผสมหลัก คือ สารสกัด Botanical Bud Nectar ซึ่งผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง

มีการทดลองหลังการทา พบว่า

🌳 ค่าการอักเสบที่ผิวชั้นหนังกำพร้า (IL6,8) หลังได้รับรังสี UV ลดลงมากกว่าในผิวที่ทา เมื่อเทียบกับผิวที่ไม่ทา

▫️ พบมี Fibroblast renewal เพิ่มขึ้น 20% หลังการทา 72 ชั่วโมง

▫️ พบว่าการสร้างเมลานิน ลดลง 56%

🌳 เทคโนโลยีเฉพาะที่เรียกว่า N.A.T.( Natural Assimilation Technologies) มีการทดลองพบว่า ช่วยให้ Botanical Bud Nectar สามารถแทรกซึมลงสู่ผิวชั้น Epidermis และ Dermis ได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับ Placebo Formula อื่น

🌳 เนื้อเซรั่มเป็น Biphasic formula คือ

ส่วนน้ำ [Botanical Bud Nectar] +

ส่วนน้ำมัน [Oil Booster] ซึ่งมีการทดลองพบว่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการซึมและกระจายสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น

🌳 ส่วน Oil Booster ประกอบด้วย Jojoba oil, Grapeseed oil และ Squalene ซึ่งคล้ายคลึงกับน้ำมันธรรมชาติในผิว เป็นออยล์โมเลกุลเล็ก ซึมเร็ว ไม่ทิ้งความมัน และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน

🌳 เป็นสกินแคร์กลุ่ม anti-aging ที่สามารถใช้ได้ทุกสภาพผิว

Sponsored Content by Yves Rocher

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Cleanser for Dry Skin, According to Dermatologist

คลีนเซอร์สำหรับคนผิวแห้ง

Cleansers selection based on skin types❣️

หลักการ
✅ การล้างหน้าให้สะอาด เป็นจุดเริ่มต้นของการดูแลผิวในทุกวัน
✅ บางคนอาจแพ้น้ำหอม แต่หากใครไม่มีปัญหาก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอมได้ เพียงแต่คนที่ผิวแพ้ง่ายก็ควรต้องระวัง
✅ การเลือกคลีนเซอร์ที่ดี ควรเลือกตามสภาพผิวของแต่ละคน ดังนั้น หากเพื่อนใช้แล้วดี แต่เราอาจไม่เหมาะ

ก่อนนี้เคยแนะนำคลีนเซอร์สำหรับสิวไปแล้ว ลองไปทบทวนได้ค่ะ
วันนี้มาแนะนำวิธีเลือกคลีนเซอร์สำหรับคนผิวแห้งบ้าง

สรุป 7 ข้อ ดังนี้

1. หากแต่งหน้าหรือใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่เป็นกลุ่มกันน้ำ แนะนำ เริ่มด้วยการเช็ดหรือล้างด้วย Cleansing oil หรือ balm
✔️ Cleansing oil : ส่วนใหญ่นิยมใช้ Mineral oil, castor oil, jojoba oil, olive oil (Olive oil อาจก่อสิว) หากล้างสะอาดแล้ว อาจจบขั้นตอนนี้
✔️ Cleansing balm : แนะนำให้ล้างตามด้วย Liquid Syndet Cleanser อีกรอบ

2. หากไม่ได้ใช้ waterproof product อะไร อาจใช้ Cleanser อย่างเดียวก็ได้ ไม่จำเป็นต้อง double cleansing แต่หากผิวค่อนข้างสกปรก หรือ แต่งหน้าเบา ๆ อาจเริ่มด้วย
✔️ Micellar water (เคยมีบทความแล้ว)
✔️ Cleansing milk

3. Toner อาจใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ เลือกตามความสมัครใจ แต่หากผิวแห้งแพ้ง่าย แนะนำเป็น Propylene glycol-based

4. Cleansing Scrub ไม่แนะนำให้ใช้ ในคนผิวแห้ง

5. Cleanser หากใครไม่มีปัญหาอะไรที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ก็แนะนำข้อนี้เลยเพียงอย่างเดียวค่ะ โดยคนผิวแห้งแนะนำอาจเลือกเป็นตามนี้
✔️ Syndet Liquid
✔️ Non foaming Cleanser
กลุ่มนี้อาจทาบนผิวแห้งหรือผิวเปียกก็ได้ หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำ จะเหลือลักษณะคล้ายฟิล์มเคลือบผิวบาง ๆ จะช่วยเรื่องความชุ่มชื้นผิว ดังนั้นไม่ควรเช็ดหรือถูฟิล์มนี้ออก

6. คนผิวแห้งมาก อาจพิจารณาเลือกเป็นพิเศษในกลุ่ม Cleanser ที่มีส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น ceramide, hyaluronic acid, glycerin เป็นต้น

7. ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสำหรับคนผิวแห้ง


• Cetaphil Gentle Skin Cleanser
• CeraVe Hydrating Facial Cleanser
• EltaMD Mild Cleanser
• Eucerin Ultra Sensitive Hyaluron Cleansing Gel
• LaRoche-Posay Toleriane Hydrating Gentle Cleanser มี ceramide, glycerin
• Neutrogena Ultra Gentle Hydrating Cleanser Creamy Formula
• Physiogel Gentle Soap-free Cleanser
• Ezerra Gentle Cleansing Gel
• Neutrogena Hydro Boost Cleansing Gel
• AcneAid Gentle Cleanser

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่ผิวแห้งและกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ล้างหน้าคู่ใจนะคะ
ผิวแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องลองเลือกที่เหมาะกับตัวเอง

-No Sponsored Content –
▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
References
The science behind skin care: Cleansers. J Cosmet Dermatol. 2018 Feb;17(1):8-14.

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

หน้าท้องแตกลายระหว่างตั้งครรภ์ (Striae Gravidarum)

1. สาเหตุของหน้าท้องแตกลายตอนตั้งครรภ์ ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเป็นอิทธิพลของฮอร์โมนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเส้นในคอลลาเจนในผิวหนัง
🤰🏻ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมบางคนเป็นทั้งที่ดูแลผิวดีมากแล้ว แต่บางคนไม่เป็นทั้งที่ไม่ต้องทำอะไรมาก เพราะส่วนหนึ่งมีเรื่องฮอร์โมนซึ่งแตกต่างกันในแต่ละคน

2. นอกจากปัจจัยฮอร์โมนแล้ว ยังมีเรื่องของการยืดตัวของผิวหนังในระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้เกิดรอยแตกลายที่อาจเกิดจากฉีกขาดของโครงสร้างต่าง ๆ ในผิวหนังได้
🤰🏻ดังนั้น หากเราดูแลผิวอย่างถูกวิธี ก็อาจช่วยลดการเกิดรอยแตกลายจากสาเหตุนี้ได้

3. กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดหน้าท้องแตกลายตอนตั้งครรภ์ ได้แก่
✔️ ตั้งครรภ์ตอนอายุน้อย
✔️ น้ำหนักตัวระหว่างตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นเร็ว
✔️ ตั้งครรภ์เด็กตัวโต หรือ ครรภ์แฝด
✔️ มีพันธุกรรมหน้าท้องแตกลายตอนตั้งครรภ์
🤰🏻ดังนั้น ปัจจัยที่ควบคุมได้คือ ควรดูแลการเพิ่มน้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์ และระมัดระวังการเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์

4. ส่วนมากเริ่มพบเมื่ออายุครรภ์ที่มากขึ้น ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ขึ้นไป และส่วนใหญ่มักจะหายไปหลังคลอดหากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
🤰🏻ดังนั้น ควรเริ่มดูแลผิวไปตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ และหากเลยตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ขึ้นไปอาจต้องดูแลใส่ใจให้มากขึ้นเพื่อเตรียมผิวให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงขยายตัวของผิว

5. รอยแตกลายนี้ ไม่มีผลต่อสุขภาพร่างกายของมารดาและทารกในครรภ์ แต่อาจมีผลต่อสุขภาพทางจิตใจได้ในบางคน โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีความจำเป็นต้องใช้เรือนร่างในการปฏิบัติงาน
🤰🏻 ดังนั้น คุณแม่สบายใจเรื่องความปลอดภัยได้ค่ะ แต่กรณีหลังอาจต้องดูแลผิวพิเศษหน่อย

6. ในเรื่องครีมที่ใช้ได้ แนะนำเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิว จะทำให้ผิวมีความ ยืดหยุ่นรอบรับการขยายตัวมากขึ้นได้ดี และต้องเป็นตัวที่ปลอดภัยในระหว่างตั้งครรภ์
🤰🏻 ดังนั้น อาจเลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมที่ได้มาตรฐาน เช่น Coco butter, Shea butter, Centella asiatica extract, α-tocopherol, collagen–elastin hydrolysates และที่สำคัญต้องไม่มีส่วนผสมของวิตามินเอหรืออนุพันธ์ของวิตามินเอ

7. ในแง่บอดี้ออยล์ สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดีเช่นกัน เช่นกันคือ แนะนำผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจะค่อนข้างปลอดภัยกว่า
🤰🏻ดังนั้น อาจเลือกเป็น Almond oil, Centella extract, Rosehip oil, Sesame oil

8. มีงานวิจัยชัดเจน พบว่าการนวดเบา ๆ บำรุงผิวบ่อย ๆ ด้วย Almond oil หรือสารสกัดจาก Centella tree สามารถช่วยลดการเกิดรอยแตกลายจากการยืดของผิวหนังได้
🤰🏻ดังนั้น Almond oil และ Centella จึงเป็นอีกทางเลือกที่ดี แต่ต้องนวดร่วมด้วยค่ะ

9. ส่วน Olive oil, Coco butter lotion ทาเช้าเย็น ก็สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ แต่พบว่าผลการลดการเกิดรอยแตกลายไม่ชัดเจนนัก มีบางงานวิจัยพบว่าใช้ Olive oil massage อาจช่วยลดการเกิดรอยแตกได้บ้าง
🤰🏻ดังนั้น ก็อาจลองพิจารณา Olive oil massge แต่ข้อมูลน้อยมาก อาจต้องรอข้อมูลในอนาคตต่อไป

10. ในเรื่องการนวดผิว พบว่าการใช้ออยล์นวดเบา ๆ 15 นาที สามารถลดโอกาสการเกิดรอยแตกลายได้มากกว่าการทาเฉยๆ โดยไม่นวดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
🤰🏻 ดังนั้น หากใช้ออยล์ควรนวดด้วยอย่างน้อย 15 นาที เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

11. ปัจจุบันยังเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ก็คือว่า จริง ๆ แล้วผิวแตกลายในระหว่างการตั้งครรภ์นี้เป็นผลจากสกินแคร์ หรือ ผลจากการนวด หรือ เป็นผลร่วมกัน เพราะมีรายงานบางตัวที่ควบคู่กับการนวดแล้วเห็นผล แต่บางตัวก็ไม่เห็นผลต่าง
🤰🏻 ดังนั้น เรื่องนี้ก็อาจต้องติดตามข้อมูลต่อไปในอนาคตค่ะ

⭐️⭐️⭐️ HELLO SKIN Tips ⭐️⭐️⭐️

สุดท้าย อยากแนะนำเคล็ดลับดูแลผิวลดการแตกลายในระหว่างตั้งครรภ์

✔️ คนท้องอาจไม่จำเป็นต้องเกิดท้องลายทุกคน เสมอไปเพราะมีหลายปัจจัย
✔️ การทาครีม,โลชั่นหรือออยล์ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ร่วมกับการนวดเบาๆร่วมด้วย 15-30 นาที สามารถช่วยลดโอกาสเกิดหน้าท้องลายจากการตั้งครรภ์ได้
✔️ รูปแบบออยล์เป็นรูปแบบที่กักเก็บและเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดีที่สุด แต่อาจมีความเหนอะผิวหว่าแบบครีมหรือโลชั่น สามารถเลือกได้ตามความชอบ
✔️ แนะนำให้ทาผิว หลังอาบน้ำทันทีหลังจากเช็ดตัวให้หมาด และสามารถทาซ้ำได้บ่อย ๆ ระหว่างวันขึ้นกับผิวแต่ละบุคคล
✔️ ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นผิว
✔️ เลี่ยงการอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน เลี่ยงการเกา เพราะจะทำให้ผิวแห้งแตกลายได้ง่ายขึ้น
✔️ หลังคลอดไปแล้วและหากยังมีปัญหาด้านรอยแตกลายที่ไม่จางลง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางให้การดูแลรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ยาทาในกลุ่มวิตามินเอ, การใช้เลเซอร์ต่าง ๆ เป็นต้น แต่ผลการรักษาอาจไม่ดีมากนัก ดังนั้นแนะนำให้ป้องกันไว้จะดีที่สุดค่ะ

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
References
Harefuah. 2018 Dec; 157(12): 787-790.
J Clin Nurs. 2012 Jun; 21(11-12): 1570-6.
International Journal of Women’s Dermatology 2017; 3: 77–85.

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.