Tag Archives: สกินแคร์

Melaphenone® โครงสร้างโมเลกุลที่ออกแบบโดย AI เพื่อยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว

ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกับสารนวัตกรรมตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Melaphenon® อยากให้รู้จัก cosmelan กันก่อน

cosmelan

ประกอบด้วย Cosmesome + Melaphenone®

Cosmesome เป็น Encapsulated complex ในถุง Liposome ชนิด Transethosome ที่ภายในประกอบด้วย Flavonoids 2 อย่าง คือ Apigenin และ Phloretin ที่ต้องอยู่ในถุง Transethosome เพื่อให้คงตัว และ เพื่อให้ Transethosome นำพาสารสำคัญลงสู่ผิวชั้นลึกได้เนื่องจากมีคุณสมบัติในการยืดหยุ่นได้ดี

cosmelan 2
ส่วนประกอบของ cosmelan

Cosmesome มีคุณสมบัติหลัก คือ

1. กลไกช่วยชะลอวัย (Anti-aging)

– กระตุ้นการสร้าง collagen,elastin

– ลดเอนไซม์ MMP ที่ย่อยสลายคอลลาเจน

– เพิ่ม TIMP1 ซึ่งช่วยยับยั้ง MMP

2. กลไกลดการสร้างเม็ดสี (Depigment)

– ยับยั้งกลไกสร้างเม็ดสี

– กำจัดกินเซลล์เม็ดสี (Autophagy)

– ลดระดับยีน DCT, MITF และ TYRP1 ซึ่งมีผลต่อการสร้างเม็ดสี

Melaphenon® เป็นโครงสร้างเอกสิทธิ์เฉพาะ ของ mesoestetic ซึ่งออกแบบโดย Computer design (AI) ซึ่งมีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่ารุ่นเก่า โดยมีคุณสมบัติหลัก คือ

1. กลไกช่วยชะลอวัย (Anti-aging) ลดริ้วรอยเล็ก ๆ ได้

– Anti glycation ป้องกันปฏิกิริยาการเกิด AGEs ซึ่งจะไปทำลายคอลลาเจนที่ผิว

– Anti oxidative stress ลดการเกิดสารอนุมูลอิสระ

2. กลไกลดการสร้างเม็ดสี (Depigment)

– ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase

การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของ cosmelan มีทั้ง In vitro & Ex vivo

การศึกษาในหลอดทดลอง In vitro พบว่า ลดการสร้างเม็ดสีเมลานินได้ 90% ใน 72 ชั่วโมง

การศึกษาในเนื้อเยื่อมนุษย์ Ex vivo พบว่า เริ่มลดเม็ดสีเมลานินในผิวได้จริงหลังใช้ 8 วัน

cosmelan 2
cosmelan 2

สกินแคร์ไลน์ cosmelan มีคุณสมบัติช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิวเป็นหลัก โดยผ่านกลไกยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase และอื่น ๆ ต่อมา Mesoestetic® ได้มีการปรับสูตรนวัตกรรมใหม่เป็น cosmelan2 new formula ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม ช่วยป้องกันกลับเป็นซ้ำของฝ้าและรอยดำได้ดีขึ้น และช่วย anti-aging กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ริ้วรอยเล็กแลดูลดลง สุขภาพผิวดีขึ้น โดยเพิ่มส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพอีกหลายอย่างที่ออกฤทธิ์ยับยั้งตามกลไกของการเกิดฝ้า เช่น

– ปรับ Salicylic acid เข้มข้นขึ้น

– เปลี่ยน Kojic -> Kojic dipalmitate ซึ่งคงตัวมากขึ้น

– มีการเพิ่มสาร retinol, hexyl resorcinol, idebenone, hesperidin ซึ่งเพิ่มการต้านอนุมูลอิสระและเพิ่มความกระจ่างใส (เดิมมีเพียง retinyl palmitate)

– มีการเพิ่ม melaphenone เป็น patented ซึ่งเพิ่มคุณสมบัติการต้านอนุมูลอิสระ และช่วยยับยั้งการทํางานของเอนไซม์ tyrosinase

– มีการเพิ่ม cosmesome เป็ น encapsulated ซึ่งประกอบด้วยสาร apigenin และ phloretin ช่วยซึ่งกระตุ้นการสร้าง collagen และลดการสร้างเม็ดสี

cosmelan 2 new formula
cosmelan 2​
cosmelan 2

สิ่งที่สำคัญอีกประการ คือ เมื่อทุกอย่างรวมอยู่ในชิ้นเดียวกันแล้ว ส่งผลให้ช่วยลดขั้นตอนการทา ทำให้ง่ายต่อการใช้มากขึ้น

BOTTOM LINE

การรักษาฝ้าที่มีประสิทธิภาพนั้นนอกจากจะใช้ยาหรือวิธีต่าง ๆ แล้ว จึงควรเน้นเรื่องการปกป้องแสงแดดอย่างถูกวิธี ดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงยาหรือฮอร์โมนและปัจจัยต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้นใหม่ได้อีก

————————————-

References

Biofactors. 2009 Mar-Apr;35(2):193-9.

————————————-

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

ไขข้อสงสัยเรื่อง การตรวจพบ Benzene ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ในยาและผลิตภัณฑ์รักษาสิวบางอย่าง

ข่าวเรื่อง .. การตรวจพบ Benzene ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ในยาและผลิตภัณฑ์รักษาสิวบางอย่าง .. คืออะไร ยังไงดี

แอดมินไปรวบรวมมา ดังนี้

1. เมื่อ 2 วันก่อน มี Breaking news หลายสำนักจากอเมริกา ว่ามีการตรวจพบ Benzene ใน consumer products หลายกลุ่ม หลายยี่ห้อในท้องตลาด รวมทั้งพบ Benzene ในผลิตภัณฑ์กลุ่มยา Benzoyl Peroxide (BPO) ด้วยเช่นกัน ซึ่งพบว่าข้างต้นมักเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสิว

2. Benzene เป็นสารที่ก่อมะเร็งในมนุษย์ได้ เรียกได้ว่าเป็น Human carcinogens นั่นเอง

3. ความจริงแล้ว FDA กำหนดให้ Benzene level ในผลิตภัณฑ์ปลอดภัย คือ undetectable หรือ ไม่เกิน 2 parts per million (ppm)

4. ห้องแลปตรวจสอบ พบว่า Benzene ที่พบนี้ ไม่ได้เกิดจากการเจือปนในผลิตภัณฑ์หรือยาตั้งแต่แรก แต่เกิดจากปฏิกิริยาการสลายตัวเมื่ออยู่ในที่อุณหภูมิสูง

จากการทดลองที่อุณหภูมิ 3 ระดับ พบว่า

🆘 ที่ 37°C/98.6°F (อุณหภูมิร่างกายปกติ)

พบว่า ทำให้ก่อ benzene ได้ในไม่กี่สัปดาห์

🆘 ที่ 50°C/122°F (อุณหภูมิแลปมาตรฐาน ที่ใช้ทดสอบ stability testing)

ข้อมูลจากการทำสอบผลิตภัณฑ์ 66 ชนิด นาน 18 วัน

❗️พบ 1,500 ppm ใน 2/66 products

❗️พบ >100 ppm ใน 17/66 products

❗️พบ >42 ppm ใน 42/66 products

🆘 70°C/158°F (อุณหภูมิในรถที่ร้อน)

พบว่า ก่อ benzene ได้มากจนอาจทำให้เกิดการเสียหายต่อ packaging ได้

5. สมาคมแพทย์ผิวหนังอเมริกา AAD (American Academy of Dermatology) โดย Terrence A. Cronin Jr., MD, FAAD, President of the AAD Association ได้ให้คำแนะนำตอนนี้ว่า

“เรื่องการตรวจพบ Benzene ในผลิตภัณฑ์ที่มี Benzoyl peroxide ที่อยู่ในอุณหภูมิที่สูงนั้น ให้รอข้อมูลเพิ่มเติมและประกาศจาก FDA ว่าจะมีนโยบายอย่างไรต่อไป”

“หากกังวล สามารถใช้ทางเลือกอื่นในการรักษาสิวไปก่อน เช่น topical retinoid, salicylic acid, azelaic acid เป็นต้น”

ที่มา AAD

6. สรุปความเห็นส่วนตัว คิดว่า ยังไม่ต้องตื่นตระหนกมากเกินไป

ใครใช้ BPO อยู่ —> ควรเก็บให้ดี ไม่เก็บไว้ในรถหรือในที่อุณหภูมิสูง

ใครกังวล —> ไปทางเลือกอื่น เช่น topical retinoid, salicylic acid, azelaic acid

ทุกคน —> รอประกาศจาก FDA update เพิ่มเติมต่อไป

————————————-

รวมลิงค์ https://opl.to/drwarayuwadee

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Microbiome and wound healing

Skin Microbiome

คือ ระบบของจุลินทรีย์ต่าง ๆ ที่ผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้จะอยู่กันอย่างสมดุลโดยปกติจะไม่ก่อโรค และยังมีส่วนในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่

1. ช่วยระบบอิมมูนผิว ฮอร์โมนและเมตาบอลิสมที่ผิวหนัง ให้มีความสมดุล

2. ช่วยให้กำแพงผิวแข็งแรงต่อสู้เชื้อโรคได้ดี

ดังนั้น หาก Skin Microbiome ไม่สมดุล จะทำให้กำแพงผิวไม่แข็งแรง เกิดหรือมีการกำเริบของโรคผิวหนังบางอย่างได้ เช่น ผิวแห้ง เกิดการอักเสบง่าย เป็นสิวบ่อย ๆ แผลหายช้า เป็นต้น

ผิวหนังมีจุลินทรีย์แบคทีเรีย 4 phyla คือ

  1. Actinibacteria เช่น Corynbacterineae, Propionibacterineae
  2. Proteobacteria
  3. Firmicutes เช่น Staphylococcaceae
  4. Bacteroides

ซึ่งสัดส่วนในแต่ละคนไม่เหมือนกัน เสมือนการที่ลายนิ้วมือของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน และในคนเดียวกันแต่ต่างบริเวณกัน เช่น แขน ขา ก็ไม่เหมือนกัน

กรณีของการสามารถสมานแผล

Skin microbiome ก็มีส่วนช่วยให้กลไกทั้ง 4 ขั้นตอน ดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์ ได้แก่

ขั้นตอน 1 กระบวนการหยุดเลือด

เส้นเลือดจะมีการหดตัว และมีการจับกลุ่มขอบเกล็ดเลือดบริเวณแผล เพื่อให้เลือดหยุด นอกจากนั้นยังมีการหลั่งสาร cytokines ต่าง ๆ มาช่วยในกระบวนการนี้

ขั้นตอน 2 กระบวนการอักเสบ

ทำให้มีอาการปวด บวม แดง ร้อน ตามมาได้ ระยะนี้เซลล์เม็ดเลือดขาวต่าง ๆ จะออกมากระจุกที่แผลเพื่อช่วยกำจัดเชื้อโรคและเนื้อตาย ซึ่ง Skin microbiome จะช่วยให้อิมมูลเซลล์ทำงานรวดเร็วและประสิทธิภาพดีขึ้น

ขั้นตอน 3 กระบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่

ประกอบด้วย Ground substance, granulation tissue, เส้นเลือด มีการสร้างเส้นใยคอลลาเจน รวมทั้งมีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาปกคลุมบริเวณแผล ซึ่งขั้นตอนนี้จะเกิดได้ดีเมื่อแผลอยู่สภาวะความชื้นที่เหมาะสมและ Skin microbiome สมดุล

ขั้นตอน 4 กระบวนการปรับสมดุลโครงสร้างของแผล

จะมีการหดตัวของแผล และ เส้นใยคอลลาเจนมีการเรียงตัวสวยงาม ทำให้แผลแบนราบลง ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้เวลาช้าเร็วในแต่ละคนแตกต่างกัน และ จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้ามีความสมดุลของ Skin microbiome

TRIBIOMA เป็นศาสตร์ของไมโครไบโอม เอกสิทธิ์เฉพาะของลา โรช-โพเซย์ (New patented ingredient)

ประกอบด้วย Prebiotics complex หลัก ๆ 3 ชนิดจากการคัดสรรค์ทางชีวภาพ ได้แก่ Sugar, Plant extracts, Ferments ซึ่งมีประโยชน์ต่อผิว คือ

  1. ช่วยเพิ่มอาหารของ bacteria ตัวดี (S. epidermidis) ลด bacteria ตัวร้าย (S. aureus) ทำให้สมดุลผิวดีขึ้น
  2. ช่วยเสริมกระบวนการซ่อมแซมผิวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ลดการเกิดแผลเป็นตามมา
  3. ช่วยลดการระคายเคืองผิว

ข้อมูลจาก LaRoche Posay ทดสอบการทาสกินแคร์ที่ประกอบด้วย TRIBIOMA ร่วมกับส่วนประกอบหลักอื่น คือ

5% Panthenol (B5) สารช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิว

Madicassoside สารสกัดจากใบบัวบกช่วยลดการอักเสบลดรอยดำตามหลังการอักเสบสิวและเพิ่มความชุ่มชื้นผิว

Zn/Manganese สารช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย

พบว่าสามารถช่วยซ่อมแซมผิวที่ถูกทำร้ายได้เร็วขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ใช้

โดยมีพบว่าได้ผลในกรณีเหล่านี้คือ  

  1. ในเด็ก : ผื่นผิวหนังอักเสบ ผิวแห้ง ผื่นผ้าอ้อม ปากแตก
  2. ในผู้ใหญ่ : ผื่นผิวหนังอักเสบ ผิวระคายเคืองจากสารหรือยาต่าง ๆ ผิวแห้งแตก ริมฝีปากอักเสบ ผิวหลังการเป็นงูสวัด
  3. กรณีหลังทำหัตถการ : ผิวหลังทำเลเซอร์ทุกชนิด หลังจี้ไนโตรเจน หลังการทำหัตถการผลัดเซลล์ผิว

BOTTOM LINE

เมื่ออายุเราเพิ่มขึ้น ชนิดของจุลินทรีย์ที่ผิวก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ร่วมกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ มลภาวะ การใช้สกินแคร์ การได้รับยาฆ่าเชื้อ อาชีพ แสงแดด ล้วนมีผลทั้งนั้น ดังนั้น การดูแลเอาใจใส่สุขภาพผิวให้ดี รวมทั้งการเลือกสกินแคร์ให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีและแข็งแรง

—————————–

References

J Int Med Res. 2009 Sep-Oct;37(5):1528-42.

Nat Rev Microbiol. 2011 Aug;9(8):626.

Adv Wound Care (New Rochelle). 2014 Jul 1;3(7):502-510.

Curr Allergy Asthma Rep. 2015 Nov;15(11):65.

Open Biol. 2020 Sep;10(9):200223.

Biomedicines. 2021 Sep 16;9(9):1235.

—————————–

รวมลิ้งค์ https://opl.to/drwarayuwadee

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

 

 

Urea cream ใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์กับผิว

Urea (ยูเรีย) เป็น Hygroscopic molecule ส่วนประกอบหนึ่งในผิวหนัง

พบได้ประมาณ 7% ของ NMF (Natural Moisturizing Factor) ซึ่งอยู่ที่ผิวหนังชั้นกำพร้าของเรา ส่วนนี้จะทำหน้าที่ปกป้องผิว กักเก็บความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้แก่ผิว

Urea cream
หน้าที่ของ Urea

ปริมาณของ urea ใน NMF จะลดลงไปตามอายุที่มากขึ้นเรื่อย ๆ

หาก NMF ไม่สมบูรณ์ ผลคือ สูญเสียน้ำ เสียความยืดหยุ่น ทำให้ผิวแห้งกร้าน ลอก ในที่สุด

ปัจจุบันที่การนำ urea มาผสมหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ครีม, โลชั่น, โฟม, อิมัลชั่น ประมาณ 5-20%

รายงานผลข้างเคียงจากการใช้น้อยมาก เรียกได้ว่าค่อนข้างปลอดภัย

บางทีอาจจู้สึกว่าได้กลิ่นเล็กน้อย ซึ่งเป็นกลิ่นของ voletile amine

อาจมีการระคายเคืองได้กรณีใช้ความเข้มข้นสูง แต่อาจการเหล่านี้เป็นชั่วคราวและหายเอง

Urea (ยูเรีย) ความเข้มข้นที่ต่างกันออกฤทธิ์ไม่เหมือนกัน

  • ความเข้มข้นต่ำ (2-10%) จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น (Moisturizing effect) เป็น Emoillient เติมน้ำให้ผิว และ Humectants ดึงน้ำเข้าสู่ผิว จึงช่วยแก้ปัญหาผิวแห้งได้ เช่น Xerosis และยังช่วยในการรักษาผื่น Ichthyosis, Atopic dermatitis, Psoriasis นอกจากนั้นยังป้องกันผิวอักเสบจากการฉายแสง (Radiation-induced dermatitis)
  • ความเข้มข้นปานกลาง (10-30%) นอกจากเพิ่มความชุ่มชื้นแล้ว ยังช่วยผลัดเซลล์ผิวที่หนาผิดปกติ (Keratolytic effect) มักใช้ในรอยโรคผิวหนังที่หนา เช่น Psoriasis ที่เป็นเยอะ หรือ และช่วยเพิ่มการดูดซึมยาได้
  • ความเข้มข้นมาก (30-50%) ออกฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวเป็นหลัก ใช้กับที่เล็บ, รักษาหูด, ตาปลา ส้นเท้าหนาแตกด้าน หรือใช้ทาเตรียมผิวก่อนการรักษา hyperkeratotic actinic keratosis

ดังนั้น การใช้ Urea cream ความเข้มข้นมากขึ้นไม่ได้แปลว่าจะต้องดีกว่าเสมอไป ควรเลือกให้ถูกวัตถุประสงค์ เช่น หากนำ 20% มาใช้กรณีผิวแห้ง ก็อาจทำให้รอยโรคแย่ลงได้จากการผลัดลอกเซลล์ผิวมากขึ้นกว่าเดิม

ปัจจุบันมีการนำ Urea มาใช้ในทางการแพทย์วงการผิวหนังมากขึ้น โรคทางผิวหนังหลายอย่างที่พบว่าได้ประโยชน์จากการทา Urea cream เช่น ภาวะที่มีผิวแห้งจากโรคต่าง ๆ เช่น ภูมิแพ้ผิวหนัง ผิวแห้งเกล็ดปลา ผิวแห้ง เซ็บเดิม สะเก็ดเงิน โรคอัมพฤกษ์ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น

Urea มีประโยชน์ในแง่ต่าง ๆ ดังนี้

  1. เพิ่มความแข็งแรงของกำแพงผิว
  2. ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิว ลดการสูญเสียน้ำจากผิว
  3. Keratolytic effects ช่วยเรื่องการผลัดเซลล์ผิวให้สมบูรณ์
  4. ช่วยเพิ่มการดูดซึมยาลงสู่ผิวหนังและเล็บ เช่น ทายาเชื้อรา ยาทาสเตอรอยด์ ยาฮอร์โมน
  5. ช่วยลดอาการคัน

Urea ถึงแม้จะค่อนข้างปลอดภัยไม่ค่อยมีรายงานผลข้างเคียง แต่มีข้อควรระวัง

1. ระคายเคืองได้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการทาในที่ผิวบอบบาง เช่น เปลือกตา ริมฝีปาก อวัยวะเพศ รวมทั้งใบหน้า ยกเว้นหากรอยโรคหนาที่หน้าอาจใช้ได้ชั่วคราว และควรใช้ความเข้มข้นต่ำ ไม่แนะนำให้ใช้ต่อเนื่องนาน และหยุดทาเมื่ออาการดีขึ้นแล้ว

2. หญิงตั้งครรภ์ เลี่ยงการทาบริเวณหน้าอก ป้องกันเวลาลูกกินนม เพราะยังไม่มีรายงานชัดเจนถึงความปลอดภัยในระหว่างให้นมบุตร

3. หลีกเลี่ยงการทาในแผลเปิด

4. บางรายสามารถแพ้ Urea ได้ หากใช้แล้วมีผื่นคัน หรืออาการผิดปกติควรปรึกษาแพทย์

Urea มีประโยชน์มากมายและใช้ได้ผลค่อนข้างดี แต่หากใช้ไม่ถูกวิธีก็เกิดผลเสียตามมา โรคผิวหนังนั้นอาจแย่ลง ก่อนซื้อมาใช้เองควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอว่ารอยโรคนั้น ๆ มีข้อบ่งชี้สำหรับ Urea หรือไม่

ด้วยความปรารถนาดี

—————————–

Reference

Dermatol Ther (Heidelb). 2021 Dec;11(6):1905-1915.

J Cosmet Dermatol. 2021 Apr;20 Suppl 1(Suppl 1):5-8.

Int J Clin Pract. 2020 Dec;74 Suppl 187:e13621.

Topical urea in skincare: A review Dermatology Therapy 2018; e12690.

—————————–

[Advertorial]

Urearepair plus
UreaRepair Plus

UREA Repair Plus โลชั่นบำรุงผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น เหมาะสำหรับผิวแห้ง – แห้งมาก

ส่วนผสมเอกสิทธิ์นวัตกรรม Urea+

(1) UREA 5% + NMFs 7 ชนิด ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิว

(2) Ceramides ไขมันจำเป็นภายในผิว ช่วยเสริมความแข็งแรงผิวและลดการเสียน้ำออกจากผิว

(3) Gluco-Glycerol ช่วยเพิ่มการส่งผ่านโมกุลน้ำไปยังผิวชั้นลึก เพิ่มความชุ่มชื้นยาวนาน 48 ชั่วโมง

เนื้อโลชั่นซึมสู่ผิวได้รวดเร็ว ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะบนผิว

น้ำหอมสูตรอ่อนโยนสำหรับผิวแห้งโดยเฉพาะ

พิกัด : ร้าน Boots ทุกสาขาหรือช้อปออนไลน์ได้ที่

Urea Repair Plus 250ml :  https://universal.brtmobile.com/product_1023374

Urea Repair Plus 400ml : https://universal.brtmobile.com/product_1083973

—————————–

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

จำเป็นต้องมี AHA ในสกินแคร์รูทีนไหม

หากพูดถึง AHA ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีว่าเป็นกลุ่มสารผลัดเซลล์ผิว และเชื่อว่าหลายท่านมีความกลัวที่เริ่มใช้ หรือบางท่านอาจมีประสบการณ์ที่ทำให้ต้องหยุดทา เช่น หน้าแดงแสบลอก ฯลฯ ลองอ่านบทความนี้ช่วยคุณได้ค่ะ

บางคนเข้าใจว่า.. ต้องเป็นคนผิวมันเท่านั้นจึงจะใช้ได้ แต่ผิดเลย ..!!!

อันที่จริง AHA สามารถใช้ได้ในคนที่มีผิวมันและผิวแห้ง เพราะ AHA มีคุณสมเพิ่มการอุ้มน้ำที่ผิวหนังกำพร้า ทำให้ผิวชุ่มชื้น นุ่มขึ้น เต่งตึงและสดใสขึ้น

บางคนเข้าใจว่า.. การใช้สกินแคร์ AHA ทาผิว จะทำให้ผิวบางลง นี่ก็เป็นความคิดที่ผิดอีกเช่นกัน !!!

เพราะการทำงานของสารผลัดเซลล์กลุ่ม AHA นั้นจะช่วยผลัดเซลล์ผิวบริเวณชั้นตื้นที่ตายแล้ว รวมทั้งสิ่งสกปรกที่ตกค้างบนผิวให้หลุดออก โดยไม่ได้ทำให้โครงสร้างผิวหนังปกตินั้นบางลงอย่างที่หลายคนกังวลใจ นอกจากนั้นยังไปเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวให้สมบูรณ์ ใน 28 วัน ผลที่ได้ คือ ทำให้ผิวเนียน สีผิวสม่ำเสมอและแลดูโกลว์ดูน่ามองยิ่งขึ้น

บางคนเข้าใจว่า.. การใช้สกินแคร์ AHA จะทำให้สิวเห่อมากขึ้น จึงไม่กล้าใช้ !!!

ขออธิบายแบบนี้ค่ะ ทำความเข้าใจก่อนว่า ผิวคนที่มีแนวโน้มเป็นสิวอาจมีสิ่งที่เรียกว่า Microcomedone หรือสิวอุดตันใต้ผิวที่เรามองไม่เห็น และเมื่อเราทา AHA ลงไป สารตัวนี้จะมีคุณสมบัติไปปรับโครงสร้างผิวชั้นหนังกำพร้าให้เรียงตัวดีและเป็นระเบียบมากขึ้น ส่งผลให้ช่วงแรกที่เริ่มใช้ในบางคนอาจจะมีสิวอุดตันที่ถูกผลัดให้หลุดออกมาไวขึ้น โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปกดหรือบีบ และเมื่อใช้อย่างต่อเนื่องเป็นประจำจะส่งผลให้สิวอุดตันที่ผิวลดลง และ รอยสิวก็จางลงได้ ดังนั้น AHA จึงเหมาะสำหรับคนที่ผิวเป็นสิวง่าย (Acne-proned skin) และการมีสิวเห่อช่วงแรกอาจไม่จำเป็นต้องเกิดกับทุกคนเสมอไป

บางคนเข้าใจว่า.. ไม่ควรใช้ AHA นาน ๆ เพราะจะทำให้ผิวระคายเคืองง่ายและอ่อนแอมากขึ้น !!!

ขอแบ่งเป็น 2 ประเด็น คือ ประเด็นใช้นาน และ ประเด็นระคายเคืองง่าย

  • AHA ใช้ต่อเนื่องยิ่งนานยิ่งได้ประโยชน์ เพราะช่วยปรับโครงสร้างผิวชั้นหนังแท้และมีงานวิจัยยืนยันว่า มีการสร้าง collagen, hyaluronic acid และ glycosaminoglycans มากขึ้น ทำให้ผิวแข็งแรง มีความหนาขึ้น และยังช่วยลดริ้วรอยเล็ก ๆ ที่ผิวได้อีกด้วย
  • ส่วนการระคายเคืองผิวนั้น อาจเป็นไปได้ในกรณีที่ใช้ไม่ถูกวิธี

ขอแนะนำการใช้ AHA ในคนที่ผิวระคายเคืองง่าย แบบนี้ค่ะ

  • แนะนำให้เริ่มด้วยความเข้มข้นต่ำ ประมาณ AHA 3-3.5% เพราะเป็นความเข้มข้นที่ได้ผลตามที่เล่ามาข้างต้น และระคายเคืองน้อย ใช้ได้ทุกสภาพผิว
  • เลือกยี่ห้อที่ปราศจากสารก่อแพ้ (Free form potential cosmetic allergens)
  • pH 4.5-5.5 ซึ่งมีความเป็นกรดอ่อนใกล้เคียงผิวปกติ (Mild acidic with balanced pH)
  • ปราศจากน้ำหอม สารแต่งสี สารกันเสีย เช่น paraben, MCI/MI, SLS โลหะหนักและสารก่อแพ้ระคายเคืองอื่น ๆ ตามมาตรฐานกฎหมายเกี่ยวกับเครื่องสำอาง
  • กรณีเริ่มใช้ช่วงแรก อาจใช้วิธี short contact คือ ทาทิ้งไว้แล้วล้างออก และค่อยทิ้งไว้นานขึ้นจนไม่ต้องล้างออก

สรุปแล้วเราจำเป็นต้องมี AHA ในสกินแคร์รูทีนไหม ?

ต้องอธิบายแบบนี้ค่ะ โดยปกติกระบวนการผลัดเซลล์ผิวหนังจนกระทั่งผิวที่ตายแล้วหลุดออกไป (Skin turnover) ใช้เวลาประมาณ 28 วัน และจะใช้เวลานานขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น เป็นเหตุให้เซลล์ที่ตายแล้วรวมทั้งสิ่งสกปรกต่าง ๆ ตกค้างที่ผิว เกิดความหมองคล้ำ จุดด่างดำ สิวอุดตัน ผิวไม่เรียบใสเหมือนสมัยวัยเด็ก

ดังนั้น หากเราต้องการทำให้ผิวย้อนวัยกลับไปขาวเนียนใส เราจึงต้องอาศัยตัวช่วยที่สามารถเพิ่ม skin turnover rate ให้เร็วขึ้น เพื่อให้กลไลการผลัดเซลล์ผิวมีระยะเวลาใกล้เคียงเดิม ซึ่งหนึ่งในสารผลัดเซลล์ผิวที่ช่วยได้ดี ก็คือ AHA หรือ α-hydroxyacids

PRACTICAL POINT

นอกจากนั้น AHA ยังสามารถใช้ร่วมกับ active ingredients อื่น ๆ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการดูแลผิวให้ดียิ่งขึ้นได้ เช่น

หากเน้นเรื่องริ้วรอย อาจใช้ AHA ร่วมกับ topical vitamin A, antioxidants ต่าง ๆ

หากเน้นเรื่องฝ้า หมองคล้ำ อาจใช้ AHA ร่วมกับ bleaching agents เช่น licorice, arbutin, kojic acid, ascorbic acid เป็นต้น

ใครเริ่มเร็ว คนนั้นสวยหล่อก่อนนะ

ด้วยความปรารถนาดี

—————————–

References

Clin Dermatol. 2009 Sep-Oct;27(5):495-501.

Am J Clin Dermatol 2010; 11: 95-102.

J Dtsch Dermatol Ges. 2012 Jul;10(7):488-91.

Postepy Hig Med Dosw (Online). 2015 Mar 22;69:374-83.

J Clin Aesthet Dermatol. 2016;9(11):40-43.

Molecules. 2018 Apr 10;23(4):863.

J Am Acad Dermatol 2019; 81: 313-24.

—————————–

In collaboration with Dr.Jak 3.5% swiss AHA

เจล AHA (Alpha Hydroxy Acid) คุณภาพสูงมาตรฐานยุโรป จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์

  •  ประกอบด้วย Hexa-acid กรดสกัดจากธรรมชาติ 6 ชนิดในสัดส่วนที่เห็นผลและไม่ระคายเคือง ได้แก่ citric acid, malic acid, glycolic acid, lactic acid, pyruvic acid, tartaric acid
  •  ปราศจากน้ำหอม สารแต่งสี สารกันเสีย เช่น paraben, MCI/MI, SLS
  •  ปราศจากโลหะหนักและสารก่อแพ้ระคายเคืองอื่น ๆ ตามมาตรฐานกฎหมายเกี่ยวกับเครื่องสำอาง
  •  ปลอดภัยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-friendly product)
  •  pH 4.5 เป็นกรดอ่อน ๆ เหมาะกับทุกสภาพผิว  

วิธีใช้ ทาเจลลงบนผิว เลี่ยงบริเวณรอบดวงตา

ไม่ควรใช้บริเวณที่มีผื่นแดง แห้งคัน แผลเปิด

สามารถใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

https://shp.ee/jre9kka
https://s.lazada.co.th/s.8u88e

—————————–

รวมลิ้งค์ https://opl.to/drwarayuwadee

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

ดูแลแผลสดอย่างไรให้สมานไว

เชื่อว่าเวลาเกิดบาดแผล หลายคนมักจะนึกถึงการหายาฆ่าเชื้อมาทา เช่น Alcohol, Betadine, H2O2, Chlorhexidine โดยหารู้ไม่ว่าสารเหล่านี้อาจทำลายเนื้อเยื่อบริเวณแผลได้ และความจริงแล้วอาจไม่จำเป็นเท่าการล้างแผลให้สะอาด ป้องกันการติดเชื้อและการดูแลแผลให้สมานและหายเร็วโดยเกิดรอยดำหรือแผลเป็นนูน ให้น้อยที่สุด

บางคนยังมีความเข้าใจที่ยังไม่ถูกเท่าที่ควร โพสต์นี้จึงอยากเล่าให้ฟังถึงวิธีการดูแลแผลสดให้เข้าใจอย่างง่าย

แผลที่เกิดขึ้นภายในไม่เกิน 30 วันจัดเป็น แผลเฉียบพลัน (Acute wound) เช่น แผลจากอุบัติเหตุ หรือ แผลจากการผ่าตัด ซึ่งความรุนแรงแตกต่างกันไป บางคนอาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อนหรืออาจมีการสูญเสียเนื้อเยื่อผิวบางส่วนก็ได้

แผลสด

กรณีแผลสดที่ลึกไม่เกินชั้นหนังแท้ (dermis) จะสามารถสมานเองได้ โดยมีขั้นตอน 4 อย่าง ได้แก่

การสมานแผล

ขั้นตอน 1 กระบวนการหยุดเลือด

เส้นเลือดจะมีการหดตัว และมีการจับกลุ่มขอบเกล็ดเลือดบริเวณแผล เพื่อให้เลือดหยุด นอกจากนั้นยังมีการหลั่งสาร cytokines ต่าง ๆ มาช่วยในกระบวนการนี้

ขั้นตอน 2 กระบวนการอักเสบ

เกิดการกระตุ้นการเกิดอักเสบ ทำให้มีอาการปวด บวม แดง ร้อน ตามมาได้ ระยะนี้เซลล์เม็ดเลือดขาวต่าง ๆ จะออกมากระจุกที่แผลเพื่อช่วยกำจัดเชื้อโรคและเนื้อตาย

ขั้นตอน 3 กระบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่

ประกอบด้วย Ground substance, granulation tissue, เส้นเลือด มีการสร้างเส้นใยคอลลาเจน รวมทั้งมีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาปกคลุมบริเวณแผล ซึ่งขั้นตอนนี้จะเกิดได้ดีเมื่อแผลอยู่สภาวะความชื้นที่เหมาะสม ไม่แห้ง ไม่มีสะเก็ดหรือเนื้อตายมาขวางอยู่

ขั้นตอน 4 กระบวนการปรับสมดุลโครงสร้างของแผล

จะมีการหดตัวของแผล และ เส้นใยคอลลาเจนมีการเรียงตัวสวยงาม ทำให้แผลแบนราบลง ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้เวลาช้าเร็วในแต่ละคนแตกต่างกัน

โดยปกติเมื่อเกิดบาดแผลเฉียบพลัน (Acute wound) ที่ไม่รุนแรงมาก แนะนำดังนี้ค่ะ

วิธีดูแลแผลสด
  1. ล้างแผลให้สะอาดด้วยน้ำเกลือ ตรงนี้สามารถทำเองที่บ้านได้ ยกเว้นถ้าแผลใหญ่ รุนแรง สกปรก อาจต้องพบแพทย์เพื่อทำการ debridement ร่วมด้วยค่ะ
  2. หลังจากนั้นแนะนำให้ใช้ Wound Dressing ที่เหมาะสม แนะนำให้เลือกตามชนิดแผลและคุณสมบัติ แนะนำให้ใช้กลุ่มวัสดุที่ช่วยควบคุมความชื้นให้เหมาะสมได้ด้วย ยกตัวอย่าง

กรณีแผลมีน้ำเหลืองแฉะมาก

อาจเลือก Foams, alginates, hydrofibers เพราะช่วยดูดซับสารคัดหลั่งได้ดี

กรณีแผลเล็กน้อย ค่อนแห้ง

อาจเลือก Hydrocolloids, hydrogel กลุ่มนี้ยึดติดพื้นผิวดี และช่วยป้องกันแผลจากการปนเปื้อนของสิ่งสกปรกและเชื้อโรคจากภายนอก

กรณีแผลมีน้ำเหลืองนิดหน่อย

เช่น แผลหลังทำเลเซอร์กลุ่ม resurfacing แผลผิวหนังอักเสบจากการแพ้ระคายเคือง แผลมีดบาด แผลไฟไหม้หรือแผลถลอกตื้น ๆ (partial to full-thickness skin depth) เป็นต้น อาจเลือกเป็น Hydrogels ซึ่งเป็น semipermeable semitransparent polymer gel ช่วยดูดซับน้ำเหลืองได้นิดหน่อย ข้อดี คือ ช่วยเพิ่มความชื้นให้แผลที่แห้งได้ดี ซึ่งทำให้กระบวนการสมานแผลทำได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดอาการปวดได้ และช่วยทำให้รู้สึกเย็นที่แผล

Wound dressing
ชนิดของ wound dressing

Hydrogel มีทั้งแบบแผ่นแปะปิดแผล และ แบบเจลทา

แบบแผ่นแปะ สามารถระเหยได้ และหลุดง่าย แนะนำให้มีวัสดุปิดยึดและทำการเปลี่ยนเมื่อแผลแห้ง

แบบเจล ใช้ง่ายสะดวก ปัจจุบันมีขายตามท้องตลาด หาซื้อง่าย

BOTTOM LINE

ถึงแม้กระบวนการหายของแผลที่ไม่รุนแรงนั้นสามารถเกิดได้เองตามธรรมชาติ แต่หากเรารู้ว่าต้องดูแลแผลอย่างไรอย่างถูกวิธี ก็จะช่วยให้แผลสมานไวขึ้น แผลหายเร็วและทิ้งร่อยรอยเอาไว้น้อยที่สุดหรือหายเนียนเหมือนผิวปกติเลยก็ได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็ต้องขึ้นกับผิวแต่ละบุคคลซึ่งอาจแตกต่างกันไป

—————————–

References

J Int Med Res. 2009 Sep-Oct;37(5):1528-42.

Open Biol. 2020 Sep;10(9):200223.

Biomedicines. 2021 Sep 16;9(9):1235.

—————————–

[Advertorial]

Dermatix Wound Care หรือเรียกง่ายๆว่า ไฮโดรเจลสมานแผล

ส่วนประกอบสำคัญ

  • Carbomer Intelligent Hydrogel นวัตกรรมไฮโดรเจล ช่วยควบคุมระดับความชื้นให้เหมาะสมกับการสมานแผล
  • Carnosine กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อ เส้นเลือด เส้นใยคอลลาเจน และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
  • Emoillients ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิว ได้แก่ cetrearyl ethylhexanoate, isopropyl myristate stearyl heptonoate, stearyl caprylate

เหมาะกับใช้ทาแผลถลอก แผลอักเสบ แผลถูกบาด แผลไหม้ที่ไม่รุนแรง แผลน้ำร้อนลวก แผลมอเตอร์ไซค์ล้ม

ปราศจากพาราเบน

Dermatix wound care

—————————–

อ่านบทความย้อนหลังที่

รวมลิ้งค์ https://opl.to/drwarayuwadee

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

 

 

 

 

รู้หรือไม่..Shampoo, Conditioner, Hair serum มีประโยชน์ต่างกันอย่างไร

มาเริ่มกันที่ประโยชน์ของ Shampoo ก่อนค่ะ

แชมพูสระผม ไม่เพียงแต่ทำความสะอาดหนังศีรษะ ขจัดเหงื่อและน้ำมันส่วนเกิน ชำระล้างผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้ตกแต่งผม แล้วยังช่วยให้เส้นผมแข็งแรงได้อีกด้วย

แชมพูบางอย่างมีการผสม active ingredients ที่ช่วยเสริมการรักษาโรคบางชนิดได้ เช่น หนังศีรษะอักเสบ รังแค ผมร่วง ผมบาง สะเก็ดเงินที่หนังศีรษะ เป็นต้น

ประโยชน์ของแชมพู​
ประโยชน์ของแชมพู

ส่วนผสมของ Shampoo

  • Detergents คือ สารชำระล้างหรือสารทำความสะอาดเส้นผมและหนังศีรษะ จะช่วยกำจัดน้ำมันส่วนเกินและสิ่งสกปรกต่าง ๆ มักมีส่วนผสมของสารลดแรงตึงผิว (surfactants) เช่น Sodium Lauryl Sulfate (SLS) ซึ่งทำให้ผิวหนังแห้งระคายเคืองได้ หากใครผิวระคายเคืองง่ายหรือเป็นโรคหนังศีรษะอักเสบบ่อย ๆ ควรเลี่ยง SLS และอาจใช้เป็น Sodium Laureth Sulfate (SLES) แทน
  • Conditioning and active ingredients for hair manageability คือ สารปรับสภาพผม กลุ่มนี้มักเป็น Hydrolyzed protein (collagen, silk, animal proteins),, fatty substances เช่น vegetable oils, wax, lecithin, lanolin derivatives ที่สามารถซึมผ่าน hair shaft ได้ เพื่อช่วยบำรุงหนังศีรษะเพื่อให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมต่อการเกิดเส้นผมใหม่ที่แข็งแรงสุขภาพดี แชมพูที่ได้มาตรฐานมักมี conditional effects ร่วมด้วยในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี แข็งแรงและเงางาม หวีจัดทรงง่าย
  • Additives สารเติมแต่งอื่น ๆ เช่น

    สารที่ช่วยทำให้ข้นหนืด (Viscosity control agents), สารที่ทำให้เกิดฟอง (foam stabilizers), สารกันเสีย (preservatives) หากเป็นได้ควรเลี่ยง paraben เพราะมักก่อให้เกิดการแพ้สัมผัสได้บ่อย, น้ำหอม (fragrances)

ส่วนประกอบของแชมพู
ส่วนประกอบของแชมพู

ส่วนกลุ่มที่มีสารที่ช่วยเสริมการรักษาโรคบางชนิดได้ เช่น หนังศีรษะอักเสบ รังแค ผมร่วง ผมบาง สะเก็ดเงินที่หนังศีรษะ เราจะเรียกว่าเป็น Medicated Shampoo เช่น Tar, Salicylic acid, Sulfur, Selenium sulfide, Ketoconazole, Zinc pyrithione เป็นต้น

ในขณะที่ครีมนวดผม (Hair Conditioners)

เป็นอีก options ที่เข้ามาเติมจุดบกพร่องที่แชมพูทำไม่ได้ คือ ช่วยเรื่องความสวยงามของเส้นผม ช่วยบำรุงให้ผมนุ่ม เงางาม และเคลือบไม่ให้ผมชี้ฟู และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเส้นผมในกรณีผมดัด ย้อม ทำสี

ปกติจะแนะนำให้ใช้ครีมนวดหลังการสระผมด้วยแชมพู แล้วล้างออก หรือ กรณีผมแห้งเสียมาก อาจจะใช้ชนิดหมัก นวดปลายผมและทิ้งไว้ 20-30 นาทีก่อนล้างออก

ครีมนวดผม ประโยชน์ conditioner
ประโยชน์ของครีมนวดผม

ส่วนกรณี Leave-On Hair Serum

คือ การใช้เซรั่มบำรุงผมชนิดทาทิ้งไว้ ไม่ต้องล้างออก (หลักการคล้ายกับ Skin serum ที่ใช้บำรุงผิว) เป็นที่นิยมมากในปัจจุบันเช่นกัน อาจใช้แทนครีมนวดผมก็ได้ หรือถ้าจะให้ได้ผลดียิ่งขึ้นควรใช้ร่วมกับการสระด้วย Shampoo และ นวดผมด้วย Conditioners

Leave-On Hair Serum
Leave-On Hair Serum

ประโยชน์ของ Leave-On Hair Serum

คือ ช่วยบำรุงเส้นผม เพิ่มความแข็งแรงของเส้นผม ป้องกันการทำร้ายผมจาก pollutions รอบตัว และยังช่วยให้ผมนุ่มและเงางาม

ส่วนผสมใน Leave-On Hair Serum มักเป็นส่วนผสมที่มี oil เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับเส้นผม หรือ กรณีที่ผมแห้งเสียชี้ฟูขาดการบำรุงมาก

แนะนำให้เลือกส่วนผสมที่มีสารบำรุงเข้มข้น และกลุ่ม protein ร่วมด้วย หรือ เทคโนโลยี Biocellular complex ใน Dove Hair Therapy ตัวใหม่ก็เน้นช่วยบำรุงลึกถึงระดับเซลล์ในกลุ่มคนที่ผมแห้งเสีย และสามารถใช้หลังสระผมขณะผมหมาด ก่อนไดร์ผมเพื่อช่วยปกป้องผมจากความร้อนได้ด้วย

เทคนิกการใช้ Leave-On hair serum

  • แนะนำให้ทาลูบเบา ๆ เน้นบริเวณเส้นผมที่มีปัญหาโดยเฉพาะปลายผม โดยสามารถทาได้ทั้งผมแห้ง ผมเปียกหลังการสระ หรือ รอให้ผมหมาดก่อนจึงค่อยทาบำรุงก็ได้ทั้งนั้นค่ะ
  • Hair serum ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกคน แต่แนะนำให้ใช้ร่วมด้วยกรณีหากใครที่ผมแห้ง แข็งกระด้าง ชี้ฟู แตกปลาย
  • คนที่ไดร์ผมด้วยความร้อนบ่อย ๆ แนะนำให้เลือกทา Hair serum ที่ช่วยปกป้องผมจากความร้อน ก่อนไดร์ผม
  • Hair serum ให้ทาที่บริเวณเส้นผม ไม่ควรทาที่โคนผมหรือหนังศีรษะ
  • ใช้ Hair serum บ่อยแค่ไหน ขึ้นกับปัญหาเส้นผมแต่ละคน โดยปกติแนะนำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
เทคนิคการใช้ Leave-On Hair Serum​
เทคนิคการใช้ Leave-On Hair Serum

การมีเส้นผมที่สวย แข็งแรง เงางาม ถือเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยเสริมบุคคลิกภาพให้น่ามองและชวนหลงใหลได้เลยทีเดียว ดังนั้นการให้ความใส่ใจกับการดูแลเส้นผมและหนังศีรษะจึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ 

—————————–

References

Int J Trichology. 2015 Jan-Mar;7(1):2-15.

Recent Pat Inflamm Allergy Drug Discov. 2014;8:48–58.  

J Dtsch Dermatol Ges. 2007 May;5(5):356-65.

Clin Dermatol. 1996;14:123–8.  

—————————–

[Advertorial] DOVE Hair Therapy

เซรั่มบำรุงผม Leave on Hair Serum

Dove hair therapy
  • เทคโนโลยี ไบโอเซลลูล่า คอมเพล็กซ์ บำรุงลึกถึงระดับเซลล์ผม
  • เหมาะสำหรับผมแห้งเสีย ชี้ฟู ลดการขาดหลุดร่วง เนื้อเบาบางซึมเร็วไม่เหนอะหนะ ไม่ทำให้ผมมัน
  • ใช้ได้หลังจากผมหมาดก่อนไดร์ เพื่อปกป้องผมจากความร้อน หรือพกใช้ระหว่างวันช่วยให้ผมจัดทรงง่าย
  • แนะนำใช้คู่กับแชมพูและครีมนวดสูตรสีทอง BREAKAGE REMEDY เพื่อเพิ่มการบำรุงให้ล้ำลึกไปอีกขั้น
  • ไบโอ เซลล์ลูล่า คอมเพล็กซ์ + vitamin C ช่วยให้ผมแข็งแรง ลดการขาดหลุดร่วง
  • ครีมนวดผมมี 2 หัว เป็น 2-in-1 เซรั่มวิตามิน + คอนดิชันเนอร์เข้มข้น ที่ผสมสดใหม่ทุกครั้ง เพื่อประสิทธิภาพที่ดี

หาซื้อได้ที่ห้างสรรพสินค้าทั่วไป และ Tops Watsons และทางออนไลน์ Shopee Lazada

#DoveHairTherapy #จบปัญหาผมเรื้อรังที่ระดับเซลล์

—————————–

‍⚕️อ่านบทความย้อนหลังที่ 

รวมลิ้งค์ https://opl.to/drwarayuwadee

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

เซรั่มวิตามินซี .. How to เลือกให้ดี เพื่อผิวปัง

หากจะให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี เมื่อทาวิตามินซีแล้วควรซึมผ่านชั้นผิวหนังกำพร้าลงไปและยังคงตัวอยู่ในสภาพที่ออกฤทธิ์ที่ชั้นหนังแท้ได้ดี เรียกได้ว่าต้องมีความเสถียรและระคายเคืองต่อผิวน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

แล้วตัวไหนล่ะที่เหมาะกับเรา มาทำความรู้จักกันค่ะ

วิตามินซีชนิดทา มี 2 แบบ คือ

ชนิดของวิตามินซีแบบทา​
ชนิดของวิตามินซีแบบทา
  1. Pure Vitamin C (L-ascorbic acid)
  2. อนุพันธ์ของวิตามินซี (Vitamin C derivatives) เช่น MAP, SAP, Ascorbyl Tetraisopalmitate, Ascorbyl 2-Glucoside, 3-O-Ethyl Ascorbic Acid เป็นต้น

L-ascorbic acid ถือว่ายืนหนึ่งเหนือกว่าอนุพันธ์ของวิตามินซีตัวอื่น เพราะมีคุณสมบัติครบทั้ง 3 ประการ คือ

คุณสมบัติของวิตามินซีทาผิว​
คุณสมบัติของวิตามินซีทาผิว
  • ช่วยต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว (Collagen boost)
  • ยับยั้งในกระบวนการสร้างเม็ดสีผิว (anti pigmentation)

ในขณะที่อนุพันธ์ของวิตามินซีต่างๆ มักจะมีคุณสมบัติเบื้องต้นแค่ 1-2 ประการ เท่านั้น ส่วนใหญ่มักไม่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้

แต่ข้อด้อยของ L-ascorbic acid คือ สลายง่ายที่ค่า pH ปกติที่ผิวหนังเรา เพราะถ้าจะให้ออกฤทธิ์ดีต้อง pH < 3.5 และยังมีการระคายเคืองค่อนข้างมาก บางคนจึงมีอาการแสบระคายเคืองได้

ปัจจุบันมีการพัฒนาสกินแคร์ L-ascorbic acid

เพื่อให้มีความคงตัวและออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น

L-Ascorbic Acid แบบทาที่ดี​
L-Ascorbic Acid แบบทาที่ดี
  • การผสม Vitamin E, Ferulic acid
  • การทำให้อยู่ในค่า pH < 3.5 โดยไม่ระคายเคือง
  • การทำบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม คือ สุญญากาศหัวปั๊ม ทึบแสง
  • การทำเป็น serum-based พบว่าคงตัวกว่า cream-based หรือ แยกผงวิตามินซีออกจากเซรั่มเพื่อความคงตัว

ความเข้มข้นเท่าไหร่ดี

มีงานวิจัยจากการดูชิ้นเนื้อและกล้องที่ผิวหนัง พบว่า

ความเข้มข้นของ L-Ascorbic Acid​
ความเข้มข้นของ L-Ascorbic Acid

ความเข้มข้นน้อยกว่านี้

ยังไม่มีข้อมูลสรุปว่ามีคุณสมบัตินี้ได้จริงหรือไม่ มีเพียงการศึกษาที่พบว่าไม่ได้ผล แต่บางครั้งเราอาจเห็นความเปลี่ยนแปลงจากผิวหลังการทาวิตามินซีความเข้มข้นต่ำจากรีวิวสินค้าหรือโฆษณาต่าง ๆ เช่น ขาวขึ้น รอยลดลง ทั้งนี้อาจเป็นเรื่องของปัจจัยอื่น เช่น การบำรุงจากส่วนผสมอื่น ๆ เทคนิคการกระเจิงแสง การอุ้มน้ำในผิว เป็นต้น

ความเข้มข้นมากกว่านี้

มีการศึกษาชัดเจนว่า ไม่ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นมากนัก แต่สิ่งที่มากขึ้นคือ ผลข้างเคียงจากการระคายเคืองผิว และราคาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน

แบรนด์ที่ได้มาตรฐาน มักระบุคุณสมบัติข้างต้นไว้ชัดเจน เพื่อการันตีถึงความซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค และผู้บริโภคควรสอบถามข้อมูลเบื้องต้นต่าง ๆ เพื่อเลือกสิ่งที่ดีและเหมาะสมที่สุด

ปัจจุบันมีวิตามินซี L-ascorbic acid ชนิดทาหลายแบรนด์ในท้องตลาด ราคาแตกต่างกันออกไป ทั้งราคาจับต้องได้ เช่น ไปจนถึงแพงหลายพันบาทเลยก็มี แนะนำให้เลือกตามคุณสมบัติที่กล่าวข้างต้น และราคาที่เหมาะสมกับกำลังจ่ายของตัวเองค่ะ

—————————–

References

J Cosmet Dermatol. 2022 Jun;21(6):2349-2359. 

J Cosmet Dermatol. 2020 Mar;19(3):671-676. 

Nutrients. 2017 Aug 12;9(8):866.

J Clin Aesthet Dermatol. 2017 Jul;10(7):14-17.

Skin Res Technol. 2008 Aug;14(3):376-80.

J Am Acad Dermatol. 2003 Jun;48(6):866-74.

—————————–

In collaboration with HERBITAGE C-Signature 27.5

เซรั่มวิตามินซีผสมสด เหมาะสำหรับผิวที่มีฝ้า กระ รอยดำ ช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใส

แยกผงวิตามินซีออกจากเซรั่ม เพื่อความคงตัว และมีค่า pH 3.5

Active Ingredients

15% L-Ascorbic Acid กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ลดรอยดำ ผิวดูกระจ่างใส

Oxyresveratrol สารสกัดแก่นมหาดเข้มข้น (Artocarpus Lakoocha Heartwood Extract) ช่วยฝ้า กระ รอยดำ แลดูจางลง

AOX Complex Solution ประกอบด้วย Ferulic Acid + Tocopheryl Acetate + Glutathione + Fullerene สารต้านอนุมูลอิสระรางวัลโนเบล

2% Brightenyl ลดการสร้างเม็ดสีผิว

1% CICA Complex ช่วยปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคือง

เนื้อเซรั่ม บางเบา ซึมไว

*ข้อมูลจาก HERBITAGE ทำการวิจัยและพัฒนาร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการวิจัยโดยสถาบัน Dermscan Asia ในคนเอเชียอายุ 23 – 58 ปี และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ

ทดสอบการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยใช้ human skin model พบว่า

  • ผิวดูใสขึ้นใน 10 วัน
  • ฝ้า และรอยดำ ดูจางลง 23% (เมื่อทาต่อเนื่อง 28 วัน)
  • สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวได้ใกล้เคียงกับ 0.5% Retinol

ข้อมูลเพิ่มเติม และ Link ร้านค้าอย่างเป็นทางการ (ป้องกันของปลอม)

Shopee : https://bit.ly/2PmOxy7

Lazada : https://bit.ly/3fzwrUy
Tiktok Shop : https://bit.ly/3v0pO49

—————————–

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

สิวที่มองไม่เห็น .. รู้จักไหม ?

เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยว่า ทำไมพอเริ่มทายาหรือสกินแคร์สิว แล้วอยู่ดี ๆ กลายเป็น สิวผุดมากขึ้นกว่าเดิม นั่นเป็นเพราะใต้ผิวที่แลดูเหมือนเรียบเนียน ยังมีสิวอุดตันเล็ก ๆ ที่ก่อตัวอยู่ด้านล่างและรอผุดขึ้นมานั่นเอง

เรามักจะพูดถึงสิวในระยะที่ปรากฎเห็นขึ้นมาที่ผิวหนัง (Visible acne) ไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตันหัวดำ สิวอุดตันหัวขาว สิวอักเสบ สิวหัวหนอง
แต่ความจริงแล้ว การก่อตัวของสิวมีระยะก่อนหน้านั้นอีก เรียกว่า สิวที่มองไม่เห็น (Invisible acne) หรือบางทีเรียกว่า microcomedone

Microcomedone

สาเหตุของการเกิด microcomedone

ก็เหมือนกับการเกิดสิวทั่วไป คือ ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่ามีปัจจัยที่กระตุ้น เช่น

Microcomedone

• ฮอร์โมนและความเครียด
• ความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ผิว
• การหลั่งน้ำมันผิวมากขึ้น
• การอุดตันของรูขุมขน
• พันธุกรรม
• ยาบางชนิด
• การอุดตันของส่วนผสมในเครื่องสำอาง
เป็นต้น

วงจรสิวที่มองไม่เห็น

ถ้าหากดูแลผิวถูกวิธีก็อาจทำให้ microcomedone นี้หายไปได้ แต่หากดูแลผิวไม่ดีพอ หรือ ยังมีปัจจัยกระตุ้นอยู่ ก็จะส่งผลให้กลายเป็นสิวที่โผล่ขึ้นมาให้เราเห็นเป็นสิวอุดตันหรือสิวอักเสบได้ในที่สุด หรืออาจจะกลายเป็นรอยดำรอยแดงโดยที่ยังไม่เห็นสิวโผล่ขึ้นมาก็ได้เช่นกัน

รวมทั้งหลังการรักษา หากสิวยุบลงไปหมดจนไม่เห็นด้วยตาเปล่าอีกรอบแล้ว แต่กลไกการเกิดสิวยังคงดำเนินต่อไป เราจึงต้องมีการปรับยาและสกินแคร์ให้เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการเกิดรอยดำรอยแดงสิว และลดการกลับมาเป็นซ้ำของสิวได้อีก

วิธีการที่แนะนำเพื่อจัดการสิวที่มองไม่เห็น ได้แก่

• ล้างหน้าให้สะอาด
• งดบีบหรือเจาะบริเวณที่คลำมีเม็ดใต้ผิว
• เลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับผิว โดยเน้นสกินแคร์ที่มีคุณสมบัติช่วยได้ตามกลไกของการเกิดสิว ได้แก่

  1. ลดการอุดตันของรูขุมขน
  2. ลดการทำงานของต่อมไขมัน
  3. ลดการอักเสบ
  4. ปรับสมดุลของเชื้อจุลินทรีย์ที่ผิว

ยกตัวอย่าง KENE Acnelix Series ซึ่งมี 5 ส่วนผสมหลัก ที่มีข้อมูลว่าออกฤทธิ์ช่วยได้ครบกลไกทั้ง 4 อย่างของการเกิดสิว ได้แก่
Encapsulated salicylic acid, bakuchiol, niacinamide, EGCG, resveratrol
[อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมท้ายบทความ]

อย่างไรก็ตามการตอบสนองต่อยาและส่วนผสมแต่ละชนิดในแต่ละบุคคลนั้นไม่เหมือนกัน แนะนำให้ลองเลือกและปรับตามสภาพผิวของตัวเอง

หากไม่แน่ใจว่าเป็นสิวหรือไม่ หรือเป็นสิวรุนแรงเรื้อรัง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนัง เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุดค่ะ

ด้วยความปรารถนาดี

——————————

KENE Acnelix Concentrate Acne Serum

เซรั่มสำหรับผู้มีปัญหาสิว
เหมาะสำหรับผิวที่เป็นสิว สามารถใช้ต่อเนื่องระยะยาวเพื่อลดการกลับเป็นซ้ำของสิว
ACTIONs
✔️ 6.6% Encapsulated salicylic acid ลดการอุดตันรูขุมขน ลดการหลั่งน้ำมันผิว
✔️ 1% Resveratrol ลดการอักเสบ ลดการหลั่งน้ำมันผิว
✔️ 1% Bakuchiol ลดการอุดตันรูขุมขน ลดการอักเสบและลดการเจริญเติบโตของ C.acne
✔️ 5% Niacinamide ลดการอักเสบ ลดการสร้างเม็ดสีผิว
✔️ 1% EGCG, Zinc PCA ลดความมันผิว ลดการอักเสบ

KENE Acne Clearing Gel

เจลแต้มสิว ลดการอักเสบรวดเร็ว และลดการเกิดรอยหลังการเกิดสิว
ACTIONs
✔️ 6.6% Encapsulated salicylic acid ลดการอุดตันรูขุมขน ลดการหลั่งน้ำมันผิว
✔️ 1% Resveratrol ลดการอักเสบ ลดการหลั่งน้ำมันผิว
✔️ 5% Niacinamide ลดการอักเสบ ลดการสร้างเม็ดสีผิว
✔️ Tea trea oil ลดการอักเสบ ยับยั้งเชื้อ C.acne
✔️ 1% EGCG, Zinc PCA ลดความมันผิว ลดการอักเสบ
✔️ Potassium azeloyl diglycinate ลดการสร้างเม็ดสี ลดการอักเสบ

KENE Acnelix Series

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.