Category Archives: Dermatology

Oral minoxidil ช่วยเรื่องผมบาง แต่บางคนอาจเกิดขนดกที่อื่นตามมา

รูปนี้น่าสนใจ นำมาจาก Journal of American Academy of Dermatology เลยอยากมาเล่าให้ฟังสั้น ๆ ค่ะ

Oral minoxidil เป็นยาที่ FDA-approved ในรักษา ภาวะความดันโลหิตสูง โดยขนาดยาที่ใช้คือ 10-40 มก/วัน และค่อย ๆ ปรับขึ้นได้ถึง 100 มก/วัน นอกจากนั้น ยังมีการนำมาใช้แบบ off-label ในการรักษาภาวะผมบางและปัญหาทางเส้นผมอื่น แต่กรณีนี้จะใช้ขนาดยาที่ต่ำลงมา คือ 0.25-5 มก/วัน เรียกว่า Low-dose oral minoxidil (LDOM)

มีการศึกษาที่เพิ่งตีพิมพ์ใน JAAD โดยทำการศึกษาในผู้ป่วย 105 คน ที่ใช้ LDOM ตั้งแต่ Jan 2019-June 2020 เพื่อรักษาภาวะผมบาง พบว่ามีสิ่งที่น่าสนใจดังนี้

• พบว่า ส่วนใหญ่ 90% เริ่มมีขนขึ้นมากกว่าปกติ หลังทาน LDOM ไปแล้วประมาณ 2-3 เดือน แต่บางคนอาจยาวนานได้ถึง 6 เดือนค่อยมีขนดกก็เป็นได้เช่นกัน

• พบว่า ยิ่งทาน dose สูงขึ้น ขนดกยิ่งเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

บริเวณที่มักมีขนขึ้นเยอะ ได้แก่
มากที่สุด ได้แก่ ขมับ และ ข้างแก้ม (70-80%)
รองลงมา คือ ต้นแขน, หนวด และเครา (30-50%)
พบไม่มาก คือ หน้าผาก, หว่างคิ้ว และแก้ม (5-20%)
ดังรูป

ส่วนใหญ่ขนขึ้นเยอะจากการทานยา minoxidil มักไม่ค่อยรุนแรง บางครั้งผู้ป่วยบางคนแทบไม่ได้กังวลใจด้วยซ้ำ

ในขณะบางคนก็อาจกังวล และได้รับการรักษาด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น เลเซอร์กำจัดขน แว๊กซ์ โกน ครีมกำจัดขน ถอนขน ฯลฯ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นข้อห้ามอะไร แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าเป็นการกำจัดขนเพียงชั่วคราว เพราะหากยังทานยาต่อก็อาจมีขนขึ้นมาใหม่ได้อีก

บางเคสลดขนาดยา minoxidil ก็ช่วยให้ภาวะขนดกนี้ดีขึ้นได้เช่นกัน แต่ก็มีส่วนน้อยที่ต้องหยุดทานยา (4%)

ดังนั้น ถ้าหากใครที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่ แนะนำปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังและเส้นผม เพื่อให้คำแนะนำการรักษาขนที่ขึ้นเยอะจนอาจทำให้รำคาญใจ โดยที่อาจจะยังไม่จำเป็นต้องหยุดทานยาก็ได้ค่ะ

Reference:
Characterization and management of hypertrichosis induced by low-dose oral minoxidil in the treatment of hair loss.
https://www.jaad.org/article/S0190-9622(20)32594-9/fulltext

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Scurvy หรือ โรคลักปิดลักเปิด

ลักษณะทางผิวหนังอะไรที่ทำให้เราต้องนึกถึงภาวะขาดวิตามินซี ร่วมด้วย

• จุดเลือดออกรอบ ๆ รูขุมขน เรียกว่า perifollicular petechiae มักพบที่ขา เกิดจากเส้นเลือกเปราะบาง
• อาจคลำได้เป็นตุ่มที่บริเวณปากรูขุมขนเนื่องจากมี follicular hyperkeratosis
• เส้นขนมีการขดบิดเป็นเกลียว ที่เรียกว่า corkscrew hairs

นอกจากนั้นผู้ป่วยอาจมีเลือดออกที่บริเวณอื่น เช่น

เหงือก : gingival bleeding
เล็บ : koilonychia and splinter hemorrhages
กระดูกและข้อ : painful hemarthrosis and subperiosteal hemorrhage
ตา : flame hemorrhages, cotton-wool spots, and retrobulbar bleeding into optic nerves, resulting in atrophy and papilledema

Scurvy เกิดจากการขาดวิตามินซี ซึ่งอาจเกิดจากกินได้ไม่พอ วิตามินซีพบมากในผักและผลไม้ ได้แก่ grapefruits, oranges, lemons, limes, potatoes, spinach, broccoli, red peppers, and tomatoes

วิตามินซี เป็น heat-sensitive ดังนั้นเมื่ออาหารมีการปรุงอาหารถูกความร้อนก็จะสลายไปได้

ปกติร่างกายมีวิตามินซีสะสม คือ 1500 mg ส่วนมากคนไข้มักเริ่มแสดงอาการเมื่อระดับวิตามินซีต่ำกว่า 350 mg

Risk factors ปัจจัยที่ทำให้เป็นโรค

ดื่มเหล้า
ทารกกินแต่นมวัว
ไม่กินผัก
สูบบุหรี่
ฟอกไต hemodialysis
ระบบทางเดินอาหารผิดปกติ เช่น inflammatory bowel disease

การรักษา


▫️ เสริมวิตามินซีประมาณ 500-1,000 มก/วัน
▫️ รักษาสุขภาพ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
▫️ งด alcohol
▫️ หยุดสูบบุหรี่

โดยปกติ หากไม่ได้เป็นโรคนี้ ปริมาณวิตามินซีที่ร่างกายต้องการต่อวันคือ

เด็ก 45 มก/วัน
ผู้ใหญ่ (ชาย) 90 มก/วัน
ผู้ใหญ่ (หญิง) 75 มก/วเน
ให้นมบุตร 120 มก/วัน

หลังรักษา


• อาการทั่วไป หายใน ไม่กี่วัน
• เลือดออกที่ต่าง ๆ ดีขึ้นใน วัน- สัปดาห์
• ขนบิดเกลียว ใช้เวลานานหลายเดือนจึงจะดีขึ้น

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️


References
Maxfield L, Crane JS. Vitamin C Deficiency (Scurvy) [Updated 2019 Nov 19]. In: StatPearls [Internet]. Treasure Island (FL): StatPearls Publishing; 2020 Jan-.

NEJM May 2020

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

8 ข้อสรุปการดูแลปัญหาผิวจากอิทธิพลของฮอร์โมนและถุงน้ำรังไข่หลายใบ ‼️

ขอถือโอกาสพูดถึงความผิดปกติของผิวหนังที่พบได้ในโรคนี้สั้น ๆ เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงลักษณะที่อาจจะมีความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย ที่ควรต้องไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจเพิ่มเติมนะคะ

1. ความผิดปกติของผิวหนังและเส้นผม

ในภาวะนี้เกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศชายเป็นหลัก ทำให้เกิดสิว, ขนดก, ผมบาง และรอยคล้ำที่คอหรือซอกพับต่าง ๆ ตามมา นอกจากนั้นบางคนอาจมีความผิดปกติของประจำเดือนที่มาไม่สม่ำเสมอร่วมด้วย
• ดังนั้น หากมีอาการเหล่านี้ควรต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม เพราะหากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี ภาวะนี้อาจส่งผลในเรื่องเมตาโบลิสม เช่น เบาหวาน อ้วน โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ ไขมันเกาะตับ หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้ในอนาคต
(ซึ่งในโพสนี้จะกล่าวถึงเฉพาะปัญหาทางผิวหนังเท่านั้น)

2. เรื่องสิว

มักรุนแรงและเรื้อรัง พบได้ทั้งที่เป็นสิวอุดตันและสิวอักเสบ มักพบบริเวณใบหน้าครึ่งล่าง ตามแนวขากรรไกร คอ หน้าอก ท้อง หลังส่วนบน และพบว่าส่วนใหญ่มีหน้ามันร่วมด้วย หรือพบเป็นสิวในวัยผู้ใหญ่ และไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษาด้วยยามาตรฐาน
• ดังนั้น ใครมีสิวลักษณะดังกล่าวควรพบแพทย์เพื่อตรวจเรื่องฮอร์โมนหรือถุงน้ำรังไข่เพิ่มเติม และการรักษานอกจากยามาตรฐานแล้ว อาจต้องได้รับยาในกลุ่มฮอร์โมนเพิ่มเติม เช่น ยาคุมกำเนิด OCPs, ยาปรับฮอร์โมน เช่น Spironolactone, flutamide

3. ยาปรับฮอร์โมน

ทั้ง OCPs และกลุ่มที่ไม่ใช่ยาคุม เป็นยาที่ต้องควบคุมการใช้โดยแพทย์เฉพาะทาง บางคนอาจมีข้อห้ามของการใช้ยา และอาจได้รับผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ เช่น หลอดเลือดดำอุดตันในอวัยวะต่าง ๆ, สมองขาดเลือด, โรคหัวใจ, มะเร็งเต้านม, เกลือแร่ผิดปกติจนเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ หากรุนแรงอาจเสียชีวิตได้
• ดังนั้น ไม่แนะนำให้ซื้อรับประทานเอง และก่อนสั่งจ่ายยาเหล่านี้ควรพิจารณาให้ดีว่าจำเป็นหรือไม่ #เมื่อเทียบกับความเสี่ยงของยาที่ผู้ป่วยได้รับ โดยให้พิจารณาการรักษาเป็นราย ๆ

4. เรื่องขนดก (Hirsutism)

พบได้ 60% แต่บางคนอาจไม่มีขนดกก็ได้ การรักษามีหลายวิธีที่มีงานวิจัยว่าช่วยได้ ได้แก่
• ยาปรับฮอร์โมน ทั้ง OCPs และกลุ่มที่ไม่ใช่ยาคุม (คล้าย ๆ รักษาสิว) แต่ขนาดการรักษาอาจแตกต่างกัน ซึ่งแพทย์เป็นผู้พิจารณา
• ยา Metformin
• ยาทา Topical eflornithine hydrochloride ซึ่ง FDA-approved สำหรับการใช้รักษาภาวะขนดกที่หน้า

5. เลเซอร์กำจัดขน หรือ IPL

ยังมีข้อมูลวิจัยในกลุ่มคนที่เป็น PCOS ไม่มากนัก
• ดังนั้น หากใช้การรักษาด้วยวิธีนี้เพียงอย่างเดียว อาจทำให้ปัญหากลับมาได้เหมือนเดิม ในปัจจุบันยังแนะนำให้รักษาด้วยยาปรับฮอร์โมน #ควบคู่ไปด้วยกันเสมอ

6. เรื่องอาหารและการควบคุมน้ำหนัก


• ในแง่รอยดำคล้ำ พบว่าช่วยได้ดี
• ในแง่ขนดก มีบางรายงานพบว่าการจำกัดแคลอรี่และการลดน้ำหนักลง 5% ใน 4 สัปดาห์ ช่วยให้ดีขึ้นได้ 30% แต่บางงานวิจัยพบว่าไม่ได้ผล อาจลองนำไปปฏิบัติและดูผลการตอบสนองเป็นรายไป
• ในแง่สิว พบว่าสิวดีขึ้นได้ถ้าหากควบคุมอาหารจำพวกที่ทำให้น้ำตาลสูงขึ้น เพราะการเกิดสิวส่วนหนึ่งสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน โดยระยะเวลาเห็นผลสิวยุบลงคือ ประมาณ 4-6 สัปดาห์

7. เรื่องคอดำรักแร้และข้อพับดำคล้ำ

หรือ เรียกว่า acanthosis nigricans พบว่าส่วนหนึ่งสัมพันธ์กับภาวะดื้ออินซูลินและน้ำหนักเกิน
• การรักษาหลัก คือ ลดน้ำหนัก ควบคุมระดับอินซูลินด้วยยาบางชนิด เช่น metformin, thiazolidinedione, octreotide
• กลุ่มยาทาอื่นเพื่อเสริมการรักษา เช่น
Oral isotretinoin 3 mkd
Fish oil 10-20 กรัมต่อวัน
Topical calcipotriene, retinoids, hydroquinone
Chemical peeling
Alpha lipoic acid
อย่างไรก็ตามพบว่า หากหยุดการรักษา ภาวะนี้มักกลับมาเป็นใหม่ได้อีก

8. เรื่องผมบาง

อิทธิพลของฮอร์โมนเพศชายจะทำให้ผมมีเส้นเล็กลง และปริมาณลดลงได้ ซึ่งปัญหานี้พบไม่บ่อยเท่าปัญหาอื่น แต่มีผลต่อสภาพจิตใจไม่น้อย การรักษาใช้ยาปรับฮอร์โมนเป็นหลัก เช่น ยาคุม OCPs, Spironolactone, Finasteride หรืออาจใช้ยาทาในกลุ่ม Minoxidil โดยแนะนำผู้ชาย 5% ผู้หญิง 2% ก็ได้ผลดี #แต่การตอบสนองต้องอาศัยระยะเวลาหลายเดือน
• ดังนั้น ต้องใจเย็นและหากหยุดยา ก็อาจกลับไปผมบางได้อีก

ภาวะ PCOS นอกจากจะมีปัญหาผิวหนังและเส้นผมตามข้างต้นแล้ว ยังอาจมีอาการอื่นได้อีก เช่น


• ประจำเดือนผิดปกติ
• ตรวจอัลตราซาวด์พบว่ามีถุงน้ำหลายใบในรังไข่
• เบาหวาน, ภาวะอ้วน
ซึ่งต้องอาศัยการตรวจเพิ่มเติมและร่วมดูแลของแพทย์สหสาขาวิชาชีพ เช่น หมอผิวหนัง หมอต่อมไร้ท่อ หมอสูตินรีเวช หมอมะเร็ง เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนในอนาคต เช่น
• มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
• ความเครียดและซึมเศร้า
• ภาวะแทรกซ้อนของโรคหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจ, โรคอัมพฤกษ์

หมอผิวหนังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดูแลโรคนี้ และจะถือเป็นด่านแรก ๆ ก็ว่าได้ที่มีส่วนช่วยในการวินิจฉัยโรค ทุกคนที่ได้อ่านบทความนี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากพบความผิดปกติที่ไม่แน่ใจ ก็แนะนำให้ไปตรวจเพิ่มเติมนะคะ

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
References
Clin Cosmet Investig Dermatol 2018; 11: 407-413.
J Am Acad Dermatol 2014; 71: 859.e1-15.
Am J Clin Dermatol 2007; 8 (4): 201-219.

บทความลิขสิทธิ์ Copyright ©👩🏻‍⚕️HELLO SKIN by หมอผิวหนัง

“เหงื่อออกมากไป” ทำอย่างไรดี ?

ใครบ้างที่มีปัญหาเหงื่อออกเยอะจนรบกวนชีวิตประจำวัน ‼️

หมอกำลังจะเล่าถึง การรักษาภาวะเหงื่อออกมากเกินไป หรือที่เรียกว่า Hyperhidrosis (HH) ไม่เหมือนกับภาวะที่ทำให้มีกลิ่นตัวเหม็นนะคะ —> คนละอย่างกัน ❌

สำหรับประชาชนทั่วไป —> อ่าน 🧿
สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ —> อ่าน 🧿💠

เรื่องที่น่ารู้มีดังนี้

1🧿 หากสงสัยว่ามีภาวะเหงื่อออกมากไป ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ เช่น
• ภาวะอ้วน
• วัยทอง
• ต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติ
• เบาหวาน
• โรคติดเชื้อบางชนิด
• โรคหัวใจ
• โรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
เพราะการรักษาส่วนหนึ่งต้องแก้ไขที่สาเหตุร่วมด้วย มิฉะนั้นแล้วการรักษาที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็อาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร

2🧿 บางคนอาจไม่มีสาเหตุอะไรเลยก็ได้ กลุ่มนี้มักเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุน้อยกว่า 25 ปี อาจมีคนในครอบครัวเป็นเหมือนกัน ถึงแม้เป็นภาวะที่ไม่ได้อันตรายร้ายแรง แต่หมอเข้าใจดี ว่าเป็นเรื่องที่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากพอสมควร และควรได้รับการรักษา

3🧿 ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะกระตุ้นเหงื่อให้ออกมากกว่าเดิม เช่น
❌ อยู่ในที่แออัด
❌ เครียด หงุดหงิด อารมณ์เสีย
❌ ทานอาหารรสเผ็ด กระเทียม หัวหอม เครื่องเทศ
❌ ดื่มแอลกอฮอล์

4🧿 แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ระบายอากาศ ไม่คับเกินไป รักษาเท้าให้แห้ง เปลี่ยนถุงเท้า ไม่ใช้ซ้ำ เปลี่ยนรองเท้าสลับคู่ อาจโรยผงแป้งลดเหงื่อที่เท้าจะช่วยได้

5🧿 การรักษาบางอย่าง อาจเหมาะกับการรักษาภาวะเหงื่อออกมากในบางบริเวณ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณา

Reference : J Am Acad Dermatol 2019;81:669-80.

6🧿 ผลิตภัณฑ์ลดเหงื่อ (Topical antiperpirants) ใช้ง่ายที่สุด ใช้ได้ที่ฝ่ามือฝ่าเท้า รักแร้ ศีรษะ ที่นำมาใช้บ่อยสุด คือ Aluminium chloride hexahydrate ลองอ่านเพิ่มได้ในรีวิวที่หมอเคยเขียนไปค่ะ

7🧿 ผลิตภัณฑ์ลดเหงื่อที่มีส่วนผสมของ aluminium พบว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดอัลไซเมอร์และมะเร็งเต้านม

8🧿 ยารับประทานที่ทำให้เหงื่อลดลง ใช้ได้กับเหงื่อออกมากทุกบริเวณในร่างกาย แต่แนะนำให้ใช้กรณีเป็นรุนแรงและยาทาไม่ได้ผล แต่กลุ่มนี้อาจพบมีผลข้างเคียง เรื่อง ตาแห้ง ปากแห้ง วิงเวียน ตามัว ปัสสาวะไม่ออก

💠 Non FDA-approved for generalized & multifocal HH
💠 ยาที่ใช้ คือ Anticholinergic agents, Antiparkinson drugs, Phenothiazine, TCA
💠 Glycopyrrolate ใช้บ่อยสุดในการรักษาภาวะนี้ ไม่ผ่าน BBB ผลข้างเคียงน้อย เริ่มต้น 1-2 มก 2 ครั้ง/วัน
💠 Oxybutinin เริ่ม 2.5 มก ต่อวัน เพิ่มจนถึง 10-15 มก ต่อวัน
💠 Maximum efficacy ในการปรับยา คือ 1 สัปดาห์
💠 ยาอื่นที่มีรายงานได้ผล คือ Indomethacin, Clonidine, Ca-chanel blocker

9🧿 กรณีเป็นเหงื่อออกมากเวลามีความเครียด ตื่นเต้น วิตกกังวล สามารถใช้ยากลุ่ม beta blocker, benzodiazepine

10🧿 การรักษาด้วยไอออนโตฟอรีซิส ใช้ได้สำหรับเหงื่อออกมากที่ฝ่ามือฝ่าเท้า มีแบบพกพาไว้ทำที่บ้านได้ ไม่อันตราย ยี่ห้อที่รองรับ ได้แก่
✔️ RA Fischer
✔️ Hidrex USA
✔️ Drionic
ทำ 3-4 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ครั้งละ 20-30 นาที
ใช้กระแส 15-20 mA
เห็นผลหลังทำ 6-15 ครั้ง และผลคงอยู่นาน 2-14 สัปดาห์ หลังจากนั้นทำต่อไปทุก 1-4 สัปดาห์แล้วแต่คน
หลังทำช่วงแรก อาจมีเหงื่อออกมากขึ้นไปเป็นเรื่องปกติ ก่อนที่เหงื่อจะเริ่มลดลง
ห้ามทำในคนท้อง, โรคหัวใจ, ลมชัก, ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ
ผลข้างเคียง : มือแห้ง ชา ตุ่มน้ำ รักษาได้ด้วยยาทาสเตอรอยด์และครีมบำรุงผิว และลดความแรงกระแส

💠 FDA-approved for palmar and plantar HH

11🧿 การฉีดโบท็อกซ์ลดเหงื่อ
ฉีดในบริเวณที่เหงื่อออกมาก เป็นวิธีที่นิยมและได้ผลดี
เหงื่อเริ่มลดใน 2-4 วัน เห็นผลชัด 2 สัปดาห์หลังฉีด
ผลคงอยู่ได้นาน 4-6 เดือน

💠 FDA-approved onabotulinum toxin-A for severe axillary HH
💠 Dermal-subcutaneous injection (2.5 mm below the skin) 1-2 cm apart

12🧿 อุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้รักษาเหงื่อออกรักแร้ ควรต้องไปปรึกษาแพทย์พิจารณา ได้แก่
✔️ ไมโครเวฟ : ยี่ห้อ Miradry (FDA-approved)
เห็นผล 90% ผลคงอยู่นาน >12 เดือน
✔️ อัลตร้าซาวน์
✔️ Fractional microneedle radiofrequency
✔️ เลเซอร์

13🧿 การผ่าตัดหรือจี้ปมเส้นประสาทอัติโนมัติ ใช้กรณีที่การรักษาข้างต้นไม่ได้ผล แนะนำให้ปรึกษาศัลยแพทย์ร่วมดูแลรักษาค่ะ
วิธีนี้ได้ผลค่อนข้างดี 70-90% พบว่าที่มือเห็นผลชัดเจนสุด
หลังรักษาอาจพบว่า
✔️ บางรายกลับมาเป็นซ้ำได้ 0-65%
✔️ บางรายอาจมี compensatory sweating กลไกร่างกายตอบสนองให้หลังเหงื่อออกมากขึ้นที่บริเวณอื่น เช่น ก้น หลัง หน้าท้อง ขา แต่พบไม่บ่อย และสามารถแก้ได้ด้วยยาทา หรือ โบท็อกซ์เฉพาะจุด

💠 Endoscopic thoracic sympathectomy
T2 and T3 ganglia –> Palmar
Above 3rd rib –> Craniofacal
T3 and T4 ganglia –> Axillary
💠 Endoscopic lumbar sympathectomy
L3/4 ganglia –> Plantar

สุดท้ายที่อยากฝากไว้

หากสงสัยว่าตัวเองมีเหงื่อออกมากผิดปกติ จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น มือเปียก รองเท้าเปียก รักแร้เปียกจนเสื้อชุ่ม เหงื่อที่ศีรษะออกมากจนไหลท่วมหน้า แต่งหน้าไม่ได้เลย หมอแนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเพื่อตรวจหาสาเหตุ แก้ไขให้ตรงจุด จะได้ไม่ทรมานอีกต่อไปค่ะ

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
Reference

The etiology, diagnosis, and management of hyperhidrosis: A comprehensive review
Therapeutic options
J Am Acad Dermatol 2019;81:669-80.

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

How to กินช๊อคโกแลตเพื่อผิวสวย & หน้าเด็ก

รู้ไหมว่า .. หมอชอบทานดาร์คช๊อคโกแลตมาก ๆ และวันนี้หมอมีวิธีการเลือกซื้อช๊อคโกแลตมาแบ่งปัน เพราะการทานช๊อคโกแลตอย่างถูกวิธี จะทำให้เราได้รับ “ฟลาโวนอยด์” และ “โพลีฟีนอลหลายชนิด” ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้อย่างเต็มที่ ผลก็คือ..

1. ผิวสวย ชะลอการเกิดริ้วรอย หุ่นดีขึ้น ผมสวย
รู้ไหมว่า ดาร์คช๊อคโกแลตยังถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มแอนตี้ออกซิแด้นที่สูงกว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ถึง 8 เท่านะ..จะบอกให้‼️
2. อารมณ์ดี คลายเครียด
พบว่าหลังทานในปริมาณปกติไปประมาณ 2 สัปดาห์ ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ลดการซึมเศร้า เพราะในช๊อคโกแลตมีสาร MAO inhibitors ออกฤทธิ์คล้ายยาต้านเศร้านั่นเอง
3. ความจำดีขึ้น
เพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำของสมองได้ 2-3 ชั่วโมง
4. ช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
ลดความดันโลหิต (SBP 2.8-4.7 mmHg, DBP 1.9-2.8 mmHg)
5. ช่วยลดคลอเรสเตอรอลได้
หลังกินดาร์คช๊อคโกแลตที่มีโกโก้ 70% ปริมาณ 100 กรัม/วัน นาน 1 สัปดาห์ พบว่า ลด LDL 6% เพิ่ม HDL 8%
6. บำรุงสายตา

แต่ระวัง..!! ถ้าหากเลือกผิด สิ่งที่ได้จะเป็นน้ำตาลและไขมัน ซึ่งส่งผลเสียมากกว่า

ถ้าเรียงลำดับปริมาณฟลาโวนอยด์จากมากไปน้อย จะได้เป็น

1. Cacao คาเคา —> ไม่ค่อยหวาน แต่มีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะที่สุด !!!

2. Cocoa โกโก้ —> หวานนิดหน่อย มีสารต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่าคาเคา โดยที่มากน้อยเท่าไหร่ขึ้นกับว่า..มีปริมาณโกโก้ผสมอยู่เท่าใด

🍫 Dark chocolate มีผงโกโก้ผสมอยู่มากกว่า 70% จึงเป็นช๊อคโกแลตที่มีมีสารฟลาโวนอยด์มากสุด

🍫 Milk chocolate มีผงโกโก้น้อยกว่า 70% จึงมีสารฟลาโวนอยด์น้อยลง และมีการเพิ่มนมและน้ำตาล

🍫 White chocolate ไม่มีผงโกโก้ ไม่มีฟลาโวนอยด์ มีเนยโกโก้ (ไขมัน) นม น้ำตาล เพิ่มเข้ามา

ช๊อคโกแลตข้างต้น หากมีการผ่านกระบวนการต่าง ๆ เช่น อบ หมัก ทำให้เป็นด่างมากขึ้น จะทำให้ขมน้อยลง รสนุ่มขึ้น ทานง่ายขึ้น —> แต่..ฟลาโวนอยด์..จะลดลงไป 60-90% เลยนะจ๊ะ‼️ พวกนี้จะระบุไว้ว่า
🍫 Dutched
🍫 Process with Alkali
เล่าแบบนี้อาจจะนึกยังไม่ออก เหล่านี้ก็คือพวกเครื่องดื่มโกโก้ปรุงสำเร็จพร้อมดื่ม เช่น โอวัลติน ไมโล เป็นต้น

European Food Safety Authority แนะนำปริมาณฟลาโวนอยด์ที่รับประทานในโกโก้หรือช๊อคโกแลต คือ 200 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับผลโกโก้ประมาณ 2.5 กรัม หรือ ดาร์คช๊อคโกแลต 2 ชิ้นเล็ก

สรุปว่า ถ้าอยากกินช๊อคโกแลตให้ดีต่อสุขภาพก็ควรเลือกแบบนี้ค่ะ

• ชนิดผง —> ผงคาเคา หรือ ผงโกโก้แบบปรุงแต่งน้อยที่สุด เลี่ยงพวกผสมพร้อมชงดื่มเพราะมักผสมน้ำตาล แล้วเราค่อยมาปรุงรสเองนิดหน่อยก็พอ
• ช๊อคโกแลตแท่ง —> ดาร์คช๊อคโกแลตแบบที่มี %โกโก้สูง ๆ น้ำตาลน้อย ๆ และกินวันละ 2-3 ชิ้นเล็ก ๆ พอ
• กินตอนเช้า ช่วยให้สดชื่นอารมณ์ดี กระปรี้กระเปร่าเพิ่มขึ้นได้ 2-3 ชั่วโมง
• ช๊อคโกแลตที่ผสมถั่วและผลไม้ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มเติมส่วนของรสชาติ อันนี้แล้วแต่คนชอบ

ข้อควรระวัง

❌ ช๊อคโกแลต อาจทำให้กระตุ้นไมเกรนได้ในบางคน
❌ ไม่แนะนำในคนเป็นโรคไต เพราะช๊อคโกแลตมีกรดออกซาลิคสูง เพิ่มความเสี่ยงเกิดนิ่วได้

ส่วนตัวจะกินตัวที่หาซื้อได้ไม่ยากเกินไป และดูแล้วมีประโยชน์ต่อสุขภาพ อารมณ์ดี ผิวพรรณอ่อนเยาว์ ตัวนี้เลย Lindt เป็น Excellent Cacao 100% ไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย

ใครอยากลองกินตามก็ได้ไม่ว่ากันค่ะ กินแล้วจะหน้าเด็กไหมต้องไปลองเองนะจ๊ะ แต่ข้อมูลสนับสนุนเบอร์นี้ ส่วนตัวคิดว่าไม่กินไม่ได้แล้ว

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
No sponsored content

Product mentioned
Lindt Thailand

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

หน้าท้องแตกลายระหว่างตั้งครรภ์ (Striae Gravidarum)

1. สาเหตุของหน้าท้องแตกลายตอนตั้งครรภ์ ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเป็นอิทธิพลของฮอร์โมนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเส้นในคอลลาเจนในผิวหนัง
🤰🏻ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมบางคนเป็นทั้งที่ดูแลผิวดีมากแล้ว แต่บางคนไม่เป็นทั้งที่ไม่ต้องทำอะไรมาก เพราะส่วนหนึ่งมีเรื่องฮอร์โมนซึ่งแตกต่างกันในแต่ละคน

2. นอกจากปัจจัยฮอร์โมนแล้ว ยังมีเรื่องของการยืดตัวของผิวหนังในระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้เกิดรอยแตกลายที่อาจเกิดจากฉีกขาดของโครงสร้างต่าง ๆ ในผิวหนังได้
🤰🏻ดังนั้น หากเราดูแลผิวอย่างถูกวิธี ก็อาจช่วยลดการเกิดรอยแตกลายจากสาเหตุนี้ได้

3. กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดหน้าท้องแตกลายตอนตั้งครรภ์ ได้แก่
✔️ ตั้งครรภ์ตอนอายุน้อย
✔️ น้ำหนักตัวระหว่างตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นเร็ว
✔️ ตั้งครรภ์เด็กตัวโต หรือ ครรภ์แฝด
✔️ มีพันธุกรรมหน้าท้องแตกลายตอนตั้งครรภ์
🤰🏻ดังนั้น ปัจจัยที่ควบคุมได้คือ ควรดูแลการเพิ่มน้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์ และระมัดระวังการเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์

4. ส่วนมากเริ่มพบเมื่ออายุครรภ์ที่มากขึ้น ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ขึ้นไป และส่วนใหญ่มักจะหายไปหลังคลอดหากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
🤰🏻ดังนั้น ควรเริ่มดูแลผิวไปตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ และหากเลยตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ขึ้นไปอาจต้องดูแลใส่ใจให้มากขึ้นเพื่อเตรียมผิวให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงขยายตัวของผิว

5. รอยแตกลายนี้ ไม่มีผลต่อสุขภาพร่างกายของมารดาและทารกในครรภ์ แต่อาจมีผลต่อสุขภาพทางจิตใจได้ในบางคน โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีความจำเป็นต้องใช้เรือนร่างในการปฏิบัติงาน
🤰🏻 ดังนั้น คุณแม่สบายใจเรื่องความปลอดภัยได้ค่ะ แต่กรณีหลังอาจต้องดูแลผิวพิเศษหน่อย

6. ในเรื่องครีมที่ใช้ได้ แนะนำเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิว จะทำให้ผิวมีความ ยืดหยุ่นรอบรับการขยายตัวมากขึ้นได้ดี และต้องเป็นตัวที่ปลอดภัยในระหว่างตั้งครรภ์
🤰🏻 ดังนั้น อาจเลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมที่ได้มาตรฐาน เช่น Coco butter, Shea butter, Centella asiatica extract, α-tocopherol, collagen–elastin hydrolysates และที่สำคัญต้องไม่มีส่วนผสมของวิตามินเอหรืออนุพันธ์ของวิตามินเอ

7. ในแง่บอดี้ออยล์ สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดีเช่นกัน เช่นกันคือ แนะนำผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจะค่อนข้างปลอดภัยกว่า
🤰🏻ดังนั้น อาจเลือกเป็น Almond oil, Centella extract, Rosehip oil, Sesame oil

8. มีงานวิจัยชัดเจน พบว่าการนวดเบา ๆ บำรุงผิวบ่อย ๆ ด้วย Almond oil หรือสารสกัดจาก Centella tree สามารถช่วยลดการเกิดรอยแตกลายจากการยืดของผิวหนังได้
🤰🏻ดังนั้น Almond oil และ Centella จึงเป็นอีกทางเลือกที่ดี แต่ต้องนวดร่วมด้วยค่ะ

9. ส่วน Olive oil, Coco butter lotion ทาเช้าเย็น ก็สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ แต่พบว่าผลการลดการเกิดรอยแตกลายไม่ชัดเจนนัก มีบางงานวิจัยพบว่าใช้ Olive oil massage อาจช่วยลดการเกิดรอยแตกได้บ้าง
🤰🏻ดังนั้น ก็อาจลองพิจารณา Olive oil massge แต่ข้อมูลน้อยมาก อาจต้องรอข้อมูลในอนาคตต่อไป

10. ในเรื่องการนวดผิว พบว่าการใช้ออยล์นวดเบา ๆ 15 นาที สามารถลดโอกาสการเกิดรอยแตกลายได้มากกว่าการทาเฉยๆ โดยไม่นวดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
🤰🏻 ดังนั้น หากใช้ออยล์ควรนวดด้วยอย่างน้อย 15 นาที เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

11. ปัจจุบันยังเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ก็คือว่า จริง ๆ แล้วผิวแตกลายในระหว่างการตั้งครรภ์นี้เป็นผลจากสกินแคร์ หรือ ผลจากการนวด หรือ เป็นผลร่วมกัน เพราะมีรายงานบางตัวที่ควบคู่กับการนวดแล้วเห็นผล แต่บางตัวก็ไม่เห็นผลต่าง
🤰🏻 ดังนั้น เรื่องนี้ก็อาจต้องติดตามข้อมูลต่อไปในอนาคตค่ะ

⭐️⭐️⭐️ HELLO SKIN Tips ⭐️⭐️⭐️

สุดท้าย อยากแนะนำเคล็ดลับดูแลผิวลดการแตกลายในระหว่างตั้งครรภ์

✔️ คนท้องอาจไม่จำเป็นต้องเกิดท้องลายทุกคน เสมอไปเพราะมีหลายปัจจัย
✔️ การทาครีม,โลชั่นหรือออยล์ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ร่วมกับการนวดเบาๆร่วมด้วย 15-30 นาที สามารถช่วยลดโอกาสเกิดหน้าท้องลายจากการตั้งครรภ์ได้
✔️ รูปแบบออยล์เป็นรูปแบบที่กักเก็บและเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดีที่สุด แต่อาจมีความเหนอะผิวหว่าแบบครีมหรือโลชั่น สามารถเลือกได้ตามความชอบ
✔️ แนะนำให้ทาผิว หลังอาบน้ำทันทีหลังจากเช็ดตัวให้หมาด และสามารถทาซ้ำได้บ่อย ๆ ระหว่างวันขึ้นกับผิวแต่ละบุคคล
✔️ ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นผิว
✔️ เลี่ยงการอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน เลี่ยงการเกา เพราะจะทำให้ผิวแห้งแตกลายได้ง่ายขึ้น
✔️ หลังคลอดไปแล้วและหากยังมีปัญหาด้านรอยแตกลายที่ไม่จางลง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางให้การดูแลรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ยาทาในกลุ่มวิตามินเอ, การใช้เลเซอร์ต่าง ๆ เป็นต้น แต่ผลการรักษาอาจไม่ดีมากนัก ดังนั้นแนะนำให้ป้องกันไว้จะดีที่สุดค่ะ

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
References
Harefuah. 2018 Dec; 157(12): 787-790.
J Clin Nurs. 2012 Jun; 21(11-12): 1570-6.
International Journal of Women’s Dermatology 2017; 3: 77–85.

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Stewart-Treves syndrome ‼️

ที่มา Dermatology Online Journal. 2021 Mar 15; 27 (3).

Stewart-Treves syndrome ‼️
อีกภาวะที่เจอไม่บ่อย แต่อาจต้องนึกถึงถ้ามีลักษณะดังนี้

ตัวอย่างเคส หญิง 84 ปี
โรคประจำตัว dyslipidema, major depressive disorder
8 ปีก่อน ได้รับการวินิจฉัย CA brest Rt. S/p radical mastectomy, radiation, and chemotherapy
ผลตัดชิ้นเนื้อเป็น invasive ductal carcinoma

10 เดือน ก่อนมา รพ. มีผื่นลักษณะ indurated poorly circumscribed violaceous plaque บริเวณ upper third ที่ right forearm ร่วมกับมีแขนขวาบวมจาก lymphedema ซึ่งเป็นผลจากการรักษาก่อนนู้น

3 เดือนก่อนมา รพ. เริ่มมีตุ่มและก้อนบนปื้นแดง มีอาการเจ็บและมีแผลร่วมด้วย

ผล skin pathology เป็น complex infiltrative vascular proliferation dissociating the dermal collagen. Atypical vascular spaces, of varied shape and dimensions, were lined by tumefact endothelial cells, with round-to-irregular vesicular nuclei and occasional prominent nucleoli.
Immunostaining for human herpesvirus 8 : negative

จึงได้รับการวินิจฉัยเป็น Cutaneous angiosarcoma

Bottom line:

🔴 Cutaneous Angiosarcoma เป็น vascular tumor ที่พบไม่บ่อย

🔴 อาจพบเกิดได้จาก

  1. de novo
  2. ผิวที่เคยผ่านการฉายรังสี irradiated skin
  3. เกิดในบริเวณผิวที่มีภาวะ chronic lymphedema กรณีนี้อาจเรียกว่า Stewart-Treves syndrome
    เช่น
    ✔️ เคส Breast cancer with mastectomy และเกิด chronic lymphedema ตามมาจากการตัดต่อมน้ำเหลือง
    ✔️ ภาวะอื่น ๆ เช่น lymphatic malformations, chronic infections, chronic venous stasis, morbid obesity, malignant obstruction, and surgical procedures that disrupt lymphatic flow

🔴 ระยะเวลานับจากเกิด lymphedema จนเกิดเนื้องอกขึ้นมา ประมาณ 1-26 ปี

🔴 Pathophysiology : unclear แต่เชื่อว่าเกิดจาก disruption of lymphatic flow ทำให้เกิดการสะสมของ fluids rich in proteins, growth factors และเกิดบกพร่องของระบบอิมมูนในบริเวณนั้น ส่งผลให้เกิด atypical angiogenesis and malignancy ตามมาในที่สุด

🔴 การดำเนินโรค : Aggressive with a high rate of local recurrence & metastases

🔴 การรักษาไม่ค่อยได้ผลดีนัก อาจใช้วิธีต่าง ๆ เช่น Chemotherapy, immunotherapy, and radiation
therapy และอาจร่วมกับการผ่าตัดออก

🔴 การป้องกันการเกิด angiosarcoma นี้คือ ต้องลดความเสี่ยงของการเกิด lymphedema ให้ดี เช่น weight loss, pressure garments, physiotherapy, and compressive devices

Reference
Stewart-Treves syndrome: a diagnosis to keep in mind.
Dermatology Online Journal. 2021 Mar 15; 27 (3).


บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Mycoplasma pneumoniae-induced Rash and Mucositis

⛱ MIRM ⛱

✔️ Mycoplasma pneumoniae infection เป็นอีกภาวะที่อาจมีอาการแสดงนอกปอดร่วมด้วยได้ เช่น ทางผิวหนังพบได้ประมาณ 25% โดยอาจทำให้เกิดผื่นได้หลายรูปแบบมากมาย

Reference
Indian J Dermatol Venereol Leprol 2020;1-5.

✔️ บางครั้งอาจทำให้เกิดผื่นที่คล้ายกับ Erythema multiforme หรือ Steven-Johnson Syndrome ได้ดังรูป ซึ่งพบได้ไม่บ่อยมาก เรียกภาวะนี้ว่า MIRM (Mycoplasma pneumoniae-induced Rash and Mucositis)

✔️ MIRM มักพบในกลุ่มวัยรุ่น อายุไม่มาก มักมี prodromal respiratory symptoms เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ นำมาก่อนผื่น

✔️ ลักษณะผื่นที่พบบ่อย
เป็น atypical targets มากกว่า typical targets มักพบบริเวณ non‑acral distribution และมักพบ mucosal involvements ที่รุนแรงร่วมด้วย

Reference
Indian J Dermatol Venereol Leprol 2020;1-5.

✔️ Histopathologic features
ยัง unclear แต่จากข้อมูลการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าใน SJS, EM, MIRM ทั้งสามภาวะมีลักษณะที่เหมือนกัน คือ apoptotic keratinocytes and superficial dermal
infiltrate with a sparse perivascular lymphocytes ,
เมื่อเทียบกับ MIRM
พบว่า dermal infiltrations ใน SJS ค่อนข้างมากกว่า MIRM, และพบว่ามี lichenoid change ใน EM มากกว่า MIRM
อย่างไรก็ตามพบว่า Histologic changes ใน MIRM พบมีลักษณะของ SJS และ EM ร่วมด้วยทั้งคู่

Reference
Indian J Dermatol Venereol Leprol 2020;1-5.

✔️ ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
หากตรวจพบ positive Mycoplasma pneumoniae
immunoglobulin M antibodies or positive PCR อาจช่วยในการวินิจฉัย

✔️ ภาวะนี้ตอบสนองต่อการรักษาด้วย systemic corticosteroids และ oral antibiotics

ภาวะนี้ถึงแม้เจอไม่บ่อย แต่อาจต้องนึกถึงกรณีที่เจอผู้ป่วยที่มีผื่นลักษณะ atypical target + mucosal involvement ร่วมกับมีอาการทางระบบหายใจนำมาก่อน

ที่สำคัญอย่าลืมวินิจฉัยแยกโรค
💡 ยา —> Drug-induced EM/SJS/TEN
💡 Recurrent Herpes infection
เพราะการรักษาไม่เหมือนกัน ลองดูการแยกโรคในตารางสุดท้าย

Reference
Indian J Dermatol Venereol Leprol 2020;1-5.

Reference
Indian J Dermatol Venereol Leprol 2020;1-5.

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

ยาฉีดชีวโมเลกุล..ความหวังของผู้ป่วยสะเก็ดเงิน

ทำความรู้จัก ยาฉีดชีวโมเลกุล สำหรับรักษาโรคสะเก็ดเงิน ‼️

มีคำถามเกี่ยวกับการรักษาโรคสะเก็ดเงินเข้ามามากมาย ว่ามีวิธีรักษาอย่างไรได้บ้าง บางคนไม่อยากกินยาหรือมีข้อห้ามในการใช้ยา บางคนไม่สะดวกไปฉายแสงทุกสัปดาห์ หรือบางคนรักษามานานไม่ดีขึ้นสักที โพสนี้เลยอยากเล่าเรื่องการรักษาโรคนี้คร่าว ๆ และพูดถึงยาฉีดชีวโมเลกุลที่ใช้รักษาโรคนี้ให้ได้รู้จักกันแบบเข้าใจง่าย ๆ ลองอ่านกันดูนะคะ

1️⃣ ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน จะพบมีการอักเสบเรื้อรังของผิวหนังทำให้มีการหนาตัวขึ้น บางรายอาจมีลักษณะตุ่มน้ำ และอาจมีข้ออักเสบร่วมด้วย

2️⃣ สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าอาจมีการกระตุ้นจากปัจจัยบางอย่าง เช่น พันธุกรรม ฮอร์โมน ระบบอิมมูนร่างกาย แอลกอฮอล์หรือยาบางชนิด ดังนั้น นอกจากจะรักษาโรคแล้ว ยังต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นร่วมด้วย

3️⃣ ผู้ป่วยที่มีผื่นสะเก็ดเงินไม่มาก (<10% BSA ซึ่งเทียบได้คร่าว ๆ ประมาณ 10 ฝ่ามือ) อาจรักษาด้วย ยาทาภายนอก เช่น
✔️ ยาทาคอร์ติโคสเตอรอยด์
✔️ ยาทาน้ำมันดิน
✔️ ยาทาอนุพันธ์วิตามินดี
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้ เพราะยาแต่ละตัวมีผลข้างเคียงและข้อห้ามบางอย่างที่ต้องระวังการใช้

4️⃣ หากผู้ป่วยมีอาการสะเก็ดเงินรุนแรงปานกลางถึงมาก แพทย์อาจพิจารณาการรักษาอื่นเพิ่มเติม เช่น
✔️ ยากดภูมิคุ้มกัน
: Methotrexate ควรระวังผลข้างเคียง คลื่นไส้อาเจียน, ตับอักเสบจนถึงตับแข็งได้, กดการทำงานไขกระดูก
: Acitretin ควรระวังผลข้างเคียง ปากแห้ง ตาแห้ง ผิวแห้ง, ไขมันในเลือดสูง และต้องคุมกำเนิดนาน 2 ปีหลังหยุดยา
: Cyclosporin ควรระวังผลข้างเคียง ไตวาย, ความดันโลหิตสูง, ขนยาว, เหงือกบวม
✔️ ฉายแสงอาทิตย์เทียม
: NB-UVB, PUVA เป็นอีกวิธีที่ได้ผลดี ผลข้างเคียงไม่มากนัก บางรายอาจมีอาการแสบแดงบริเวณที่ฉายแสงได้ แต่ข้อจำกัดของวิธีนี้คือ ผู้ป่วยต้องมาฉายแสง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 3-6 เดือนขึ้นไปจึงจะเห็นผลการตลอดสนองดี

5️⃣ ยาฉีดชีวโมเลกุล หรือเรียกว่า Biologic agents ถือเป็นยากลุ่มใหม่ที่ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน โดยจะเข้าไปปรับที่ระบบอิมมูนที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคโดยตรง

ยกตัวอย่างยาที่มีในปัจจุบัน
✔️ กลุ่มออกฤทธิ์ยับยั้ง Tumor Necrosis Factor α (Anti-TNF-α)
: Etanercept
: Infliximab
: Adalimumab
: Certolizumab
✔️ กลุ่มออกฤทธิ์ยับยั้ง IL-12/IL-23
: Ustekinumab
✔️ กลุ่มออกฤทธ์ิยับยั้ง IL-17/IL-17R
: Secukinumab
: Brodalumab
: Ixekizumab
✔️ กลุ่มออกฤทธิ์ยับยั้ง IL23
: Guselkumab
: Tildrakizumab

ยากลุ่มชีวโมเลกุลนี้มีความแตกต่างของการบริหารยา ดังนี้
▫️วิธีการฉีด : แบบฉีดเข้าเส้นเลือด หรือฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
▫️ความถี่ของการฉีด : ทุก 2 สัปดาห์ – ทุก 3 เดือน
▫️ผลการรักษา : ค่อนข้างดีถึงดีมาก และเห็นผลการรักษาค่อนข้างเร็ว บางตัวผื่นดีขึ้นในไม่กี่สัปดาห์
▫️ความสะดวกในการใช้ : ค่อนข้างสะดวกสบาย ไม่ต้องนอน รพ. แต่แนะนำว่าหลังฉีดยา (โดยเฉพาะครั้งแรก) ควรรอสังเกตอาการว่าไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ก่อนกลับบ้าน
▫️ราคายา : ค่อนข้างสูง และยาบางตัวยังไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทุกสิทธิ์ มีเพียงบางตัวที่เบิกได้ตามข้อบ่งชี้เท่านั้น
▫️ผลข้างเคียง : ส่วนใหญ่เป็นอาการที่ไม่รุนแรงอาจมีอาการปวดบวมเล็กน้อยที่บริเวณตำแหน่งฉีดในบางราย, อาการจามคัดจมูกเล็กน้อย ส่วนผลข้างเคียงที่รุนแรงพบไม่บ่อย ขึ้นกับชนิดยา ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนรักษาด้วยวิธีนี้

6️⃣ ยาฉีดชีวโมเลกุล ถือเป็นอีกทางเลือกการรักษาใหม่ที่มีประสิทธิภาพดีมากในการรักษาโรคสะเก็ดเงิน แต่เนื่องจากปัจจัยบางอย่างของการเกิดโรคอาจไม่สามารถแก้ได้ เช่น พันธุกรรม ระบบอิมมูนร่างกาย เป็นต้น ดังนั้นการรักษาโรคสะเก็ดเงินอาจยังไม่มีวิธีใดที่ทำให้หายขาด แต่เราคาดหวังให้โรคสงบได้ยาวนาน ซึ่งผู้ป่วยจะไม่มีอาการอะไร และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติเหมือนคนทั่วไป

7️⃣ ผู้ป่วยสะเก็ดเงินที่สนใจอยากรักษาด้วยยาฉีดชีวโมเลกุล แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง โดยแพทย์จะพิจารณาข้อบ่งชี้และข้อห้ามในการรักษา รวมทั้งในการเลือกยาแต่ละชนิด ทั้งนี้อาจมีเรื่องของค่าใช้จ่ายและความถี่ในการฉีดยา เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของผู้ป่วยแต่ละคนเพื่อผลการรักษาอย่างดีที่สุดค่ะ

นอกจากความตั้งใจในการรักษาของตัวผู้ป่วยเอง ผู้ป่วยยังต้องมีความเข้าใจตัวโรคเป็นอย่างดี รวมทั้งครอบครัวและบุคคลรอบข้างก็สำคัญไม่น้อย ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยสะเก็ดเงินทุกคนค่ะ

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.