Category Archives: Basic Skincare

ครีมยูเรีย..ทาหน้าได้ไหม ?

ครีมยูเรีย พูดชื่อแล้วบางคนอาจจะงง แต่ถ้าบอกว่า ครีมไดอะบีเดิร์ม, ศิริราชซอฟแคร์, ยูเซอรีนยูเรียรีแพร์ บลาๆๆ.. หลายคนคงร้องอ๋อออ

อีกคำถามที่ถูกถามมาเยอะว่า “ครีมยูเรีย..ใช้ทาที่หน้าได้มั้ย” สรุปง่าย ๆ ตามนี้เลย

ครีมยูเรีย urea cream moisturizer

ยูเรียเป็นส่วนประกอบหนึ่งในผิวหนัง

พบได้ประมาณ 7% ของ NMF (Natural Moisturizing Factor) ซึ่งอยู่ที่ผิวหนังชั้นกำพร้าของเรา ส่วนนี้จะทำหน้าที่ปกป้องผิว กักเก็บความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้แก่ผิว

ปริมาณของ urea ใน NMF จะลดลงไปตามอายุ ที่มากขึ้นเรื่อย ๆ

• หาก NMF ไม่สมบูรณ์ ผลคือ สูญเสียน้ำ เสียความยืดหยุ่น ทำให้ผิวแห้งกร้าน ลอก ในที่สุด

• ปัจจุบันที่การนำ urea มาผสมหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ครีม, โลชั่น, โฟม, อิมัลชั่น ประมาณ 5-20%

รายงานผลข้างเคียงจากการใช้น้อยมาก เรียกได้ว่าค่อนข้างปลอดภัย

ความเข้มข้นที่ต่างกันออกฤทธิ์ไม่เหมือนกัน

• หากต่ำกว่า 10% จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น (Moisturizing effect) จึงมักใช้ในพวกผิวแห้ง เช่น Xerosis, Ictyosis, Atopic dermatitis, Psoriasis
• หากเกิน 10% ขึ้นไป จะออกฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว (Keratolytic effect) มักใช้ในรอยโรคผิวหนังที่หนา เช่น Psoriasis ที่เป็นเยอะ หรือ ใช้กับที่เล็บ, รักษาหูด, ตาปลา ส้นเท้าหนาแตกด้าน

ดังนั้น การที่ครีมบางชนิดมี ความเข้มข้นมากขึ้นไม่ได้แปลว่าจะต้องดีกว่าเสมอไป ควรเลือกให้ถูกวัตถุประสงค์ เช่น หากนำ 20% มาใช้กรณีผิวแห้ง ก็อาจทำให้รอยโรคแย่ลงได้จากการผลัดลอกเซลล์ผิวมากขึ้นกว่าเดิม

ครีมยูเรียสามารถใช้ทาเดี่ยว ๆ เพื่อรักษาโรคทางผิวหนัง หรือทาเพื่อเพิ่มการดูดซึมของยาตัวอื่นได้

เช่น
• 10% urea ร่วมกับ hydrocortisone หรือ betamethasone-17-valerate ในการรักษาโรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis)
• 10% urea ร่วมกับ 1% hydrocotisone, 2% salicylic acid ในการรักษาโรคผิวแห้ง Ictyosis vulgaris
• 10-40% urea ร่วมกับ dithranol หรือ bifonazole ในการรักษาโรคสะเก็ดเงิน
• 40% urea ร่วมกับ 1% fluconazole ในการรักษาเชื้อราที่เล็บ

สรุปยูเรียถึงแม้จะค่อนข้างปลอดภัยไม่ค่อยมีรายงานผลข้างเคียง แต่มีข้อควรระวัง

• ใช้กับโรคผิวหนังเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวและช่วยให้เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วหลุดลอกออก ไม่ควรซื้อมาทาเล่นโดยไม่มีข้อบ่งชี้
• ระคายเคืองได้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการทาในที่ผิวบอบบาง เช่น เปลือกตา ริมฝีปาก อวัยวะเพศ รวมทั้งใบหน้า ยกเว้นหากรอยโรคหนาที่หน้าอาจใช้ได้ชั่วคราว และควรใช้ความเข้มข้นต่ำ ไม่แนะนำให้ใช้ต่อเนื่องนาน และหยุดทาเมื่ออาการดีขึ้นแล้ว
• หญิงตั้งครรภ์ เลี่ยงการทาบริเวณหน้าอก ป้องกันเวลาลูกกินนม เพราะยังไม่มีรายงานชัดเจนถึงความปลอดภัยในระหว่างให้นมบุตร
• หลีกเลี่ยงการทาในแผลเปิด
• บางรายสามารถแพ้ยูเรียได้ หากใช้แล้วมีผื่นคัน หรืออาการผิดปกติควรปรึกษาแพทย์

ครีมยูเรีย ประโยชน์มากมายและใช้ได้ผลค่อนข้างดี แต่หากใช้ไม่ถูกวิธีก็เกิดผลเสียตามมา โรคผิวหนังนั้นอาจแย่ลง ก่อนซื้อมาใช้เองควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอว่ารอยโรคนั้น ๆ มีข้อบ่งชี้สำหรับครีมยูเรียหรือไม่ อย่าลืมว่า..เหรียญมีสองด้านนะคะ

ด้วยความปรารถนาดี

——————————————

Reference
Topical urea in skincare: A review
Dermatilogy Therapy 2018; e12690.

——————————————

อ่านบทความที่ www.helloskinderm.com

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

ทาครีมปริมาณเท่าไหร่ให้เห็นผล ?

[ สูตรผิวสวย ]

ปริมาณการทาครีมเท่าไหร่ที่เห็นผล และไม่สิ้นเปลือง ⁉️

🔰🔰🔰🔰🔰🔰🔰🔰🔰

สืบเนื่องจากโพสที่แล้ว -> ลำดับการทาครีม
ก็มีข้อความจากหลายท่านบอกว่าอยากให้พูดเกี่ยวกับ ปริมาณการทาครีมว่าควรบีบเท่าไหร่ดี
ความจริงแล้วไม่มีปริมาณที่ระบุเป๊ะ ๆ ตายตัวที่แน่นอน เพียงแค่ว่า.. ปริมาณที่แนะนำนั้นควรตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า

⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️

💯 ไม่มากเกินไป -> จนก่อให้เกิดการระคายเคืองและภาวะแทรกซ้อน และหากเป็นการทาตอนเช้า ก็อาจทำให้แต่งหน้าต่อได้ยากขึ้นอีกด้วย

💯 ไม่น้อยเกินไป -> จนทาไปแล้วก็ไม่ได้ผล ไม่ต่างกับไม่ทาอะไรเลย

☀️ ครีมกันแดด -> ใช้มากกว่าครีมทั่วไป เพื่อการปกป้องที่ได้ผล อันนี้ต้องยอมลงทุน เพราะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ถ้าให้เลือกทาอย่างเดียวก่อนออกจากบ้าน สำหรับหมอเองก็คงต้องเป็นครีมกันแดดแน่นอนค่ะ ทราบไหมว่า..การทากันแดดอย่างถูกวิธี ช่วยให้หน้าขาวใสขึ้นได้ และป้องกันฝ้า กระ มะเร็งผิวหนังได้ด้วย ⭐️ลองดูนะคะ

🆘 ครีมกลุ่มวิตามินเอ -> ใช้แต่น้อยก็เห็นผล พวกนี้ต้องอาศัยความต่อเนื่องและใช้เวลา อย่างน้อยก็ 3 เดือนขึ้นไป ต้องทาไปเรื่อย ๆ และใจเย็น อย่ากลัวว่าจะไม่ได้ผลโดยการทาทีละมาก ๆ การทามาก ๆ จะทำให้มีผลข้างเคียงมากกว่าผลดี

🍓 Serum -> กลุ่มนี้ทำมาเข้มข้นมากอยู่แล้ว ต่างจากพวกน้ำตบ โลชั่น หรือโทนเนอร์ ดังนั้น ใช้แต่พอเหมาะ ไม่ต้องเยอะมาก เยอะมากไปอาจระคายเคืองและสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ใช้เพียง 2-3 หยด แต้ม 5 จุดแล้วเกลี่ยบางๆ รีบทาเพราะซึมเร็ว พวก oil-based จะใช้น้อยกว่า water-based เนื่องจากเนื้อครีมที่หนากว่า คนหน้าใหญ่อนุโลม +1 หยดได้

🧼 คลีนเซอร์ -> ไม่ต้องใช้เยอะ เอาพอเหมาะ เยอะเกินไปจะชำระล้างไขมันหรือสารต่าง ๆ ที่เคลือบผิวออกไปหมด สุดท้ายผิวแห้ง เกิดการระคายเคืองได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันอย่าใช้น้อยไป เพราะอาจทำให้ชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปหมด เกิดสิวอุดตันตามมา

🍊 อายครีม -> ไม่ต้องเยอะมาก เมล็ดถั่วเขียวต่อตา 1 ข้างเพียงพอสำหรับผิวที่บอบบาง ตอนทาควรใช้นิ้วนาง เพื่อลดการลงน้ำหนักตอนทาที่มากเกินไป บริเวณนี้เน้นเบาๆ ทาแรงไปอาจเกิดริ้วรอยตามมา

🍏 สครับ -> ใช้เฉพาะบางราย ไม่แนะนำให้ใช้ทุกคน และการสครับควรเว้นบริเวณรอบตา รอบปาก ข้างจมูก บริเวณที่บอบบาง เพราะอาจระคายเคืองได้

🥦 มาสก์หน้า -> ไม่ต้องใช้ทุกราย ถ้าครีมเพียงพอแล้ว อาจไม่ต้องมาสก์ก็ได้

อย่าลืมว่าผิวแต่ละคนไม่เหมือนกัน คำแนะนำข้างต้นนี้เพื่อเป็นไอเดียให้ลองนำไปปรับใช้ในการดูแลผิวกันนะคะ ได้ผลยังไงมาเล่าสู่กันฟังได้เลย 👩🏻‍⚕️

Picture was licenced by Freepik
▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️


บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

เอาสกินแคร์ทุกตัวมาบีบรวมแล้วทาทีเดียวได้ไหม ⁉️

เอาสกินแคร์ทุกตัวมาบีบรวมแล้วทาทีเดียวได้ไหม ⁉️

🔰🔰🔰🔰🔰🔰🔰🔰🔰

คำตอบคือ … ไม่ได้เด็ดขาดค่ะ …‼️

หลายท่านคงทราบดีแล้ว แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลายท่านที่ยังไม่ทราบว่า ลำดับการทาสกินแคร์นั้นสำคัญมาก เพราะถ้าหากทาผิดวิธี ก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลยแม้จะซื้อครีมแพงแสนแพงขนาดไหนก็ตาม

วันนี้ขอนำเสนอวิธีการส่วนตัวที่ใช้อยู่ไม่ว่าจะปฏิบัติเองหรือแนะนำผู้ป่วยและคนรอบตัว นำมาแชร์เผื่อเป็นไอเดียค่ะ

☀️ตอนเช้า
เน้นบำรุง ปกป้องผิวจากมลภาวะและแสงแดด จึงต้องเน้นครีมกันแดด และ antioxidants
🌙 ก่อนนอน
เน้นบำรุง แก้ไขปัญหา ซ่อมแซมผิว ฟื้นฟู จึงควรเน้นกลุ่มที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ เช่น วิตามินเอ

หลักการ

  1. เรียงเนื้อสัมผัสเบา -> หนัก (ดูรูป) **ตรงนี้อาจไม่ต้องถึงขนาดท่อง เพราะเวลาทาเราจะรับรู้ได้ว่าตัวไหนซึมเร็ว ก็ทาตัวนั้นก่อน
  2. เรียง pH ต่ำ -> สูง ดังนั้นพวกวิตามินซี, AHA, BHA ควรลงก่อนทาครีม และเว้นระยะรอให้ซึมก่อน 5-15 นาที
  3. Cleanser (จำเป็น)⭐️ เพราะการล้างด้วยน้ำเปล่าไม่สามารถชำระล้างน้ำมันต่าง ๆ ที่ตกค้างบนผิวได้
  4. Makeup remover (optional) ควรใช้กรณีที่แต่งหน้า
  5. Toner (optional) ควรเลือกที่ไม่มีแอลกอฮอล์ หรือ หากใช้กลุ่ม pH adjuster ควรใช้ก่อนทา vitamin C
  6. Essence, Lotion หรือ น้ำตบ (optional) พวกนี้ซึมเร็ว ใช้ง่าย ช่วยบำรุง สามารถข้ามได้
  7. Eye cream (ควรใช้) ควรเริ่มใช้ตั้งแต่อายุ 20 ปี บำรุงและกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว ที่สำคัญ..ไม่มีอายครีมที่เห็นผลชั่วข้ามคืนในโลกนี้ ทุกอย่างต้องใช้เวลาและความต่อเนื่อง
  8. Serum (จำเป็น)⭐️ ควรเลือกตามปัญหาผิวที่ต้องการฟื้นฟูแก้ไขให้ตรงจุดไปเลย ไม่จำเป็นต้องใช้หลายตัวหลายแบรนด์ให้สิ้นเปลือง เช่น whitening, antiaging
  9. Moisturizer (จำเป็น)⭐️ เพื่อรักษาความชุ่มชื้น ลดการระเหยของน้ำ คงความสมดุลผิว เวลาทาให้ลงเนื้อครีมก่อนเนื้อซิลิโคน
  10. Sunscreen (จำเป็น)⭐️
  11. Weekly treatment กลุ่มนี้อาจไม่จำเป็นต้องใช้ทุกวัน ให้เลือกตามปัญหาผิว และอาจใช้แทนสกินแคร์บางอย่างได้ เช่น
    ✔️ Mask แผ่น อาจใช้แทน serum ได้เลย
    ✔️ Mask ข้ามคืน อาจใช้แทน Night cream ได้เลย
    ✔️ Mask แผ่นสามารถใช้ทุกวันได้ถ้าหากส่วนผสมไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือผลัดเซลล์ผิว
    ✔️ ถ้ามีกลุ่มผลัดเซลล์ผิว AHA, BHA ใช้ตามหลังวิตามินซี (ก่อนทาครีมอื่น) เพราะ pH ต่ำ

🚩🚩🚩🚩 มาเริ่มกันค่ะ 🚩🚩🚩🚩

Step 1
🔰 เลือกสกินแคร์พื้นฐานที่ต้องมี ได้แก่

💯 Sunscreen
💯 Topical retinoids
💯 Topical antioxidants เช่น Vitamin C serum
💯 Moisturizer เช่น Hyaluron serum หรือ Ceramide

🔰 เลือกสกินแคร์เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะจุดเพิ่มเติม (ตรงนี้ใครไม่มีปัญหาก็ข้ามไปเลย)

เช่น มีสิวอุดตันและหมองคล้ำ
💯 เพิ่ม azelaic cream

Step 2
🔰 ดูว่าตัวไหนควรทาเวลาไหน เช่น

✔️กันแดด ควรทาเช้า
✔️วิตามินเอ ควรทาก่อนนอน
✔️Vitamin C ทาเช้าเพื่อต้านอนุมูลอิสระ, ทาก่อนนอนเพื่อบำรุงกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
✔️ Azelaic และ Hyaluron ทาเวลาไหนก็ได้

Step 3
🔰 นำครีมมาจัดเรียง ตามค่า pH, ความหนักเบาของเนื้อครีม

🔰 สรุปได้เป็น

☀️ เช้า
Vitamin C serum (pH น้อย เนื้อเบา)
Hyaluron serum (pH สูงกว่า เนื้อเบา)
Sunscreen (เนื้อหนา)
🌙 ก่อนนอน
Retinoid (เป็นยา ทาก่อน) ยกเว้นระคายเคืองอาจเลื่อนไปทาทีหลัง
Hyaluron serum (เนื้อเบา)
Azelaic cream (เนื้อหนา)

🍓หวังว่าโพสนี้จะเป็นไอเดียให้ทุกคนลองไปปรับใช้สกินแคร์ของตัวเองได้ ใครมีอะไรแนะนำเพิ่มเติมมาแบ่งปันกันได้เลย
🍓ใครมีปัญหาผิวเยอะหน่อย แนะนำให้แก้ไขทีละอย่างและค่อยๆปรับ ครีมไปตามปัญหาที่เหลืออีกที ไม่แนะนำให้ทาทุกสิ่งอย่างลงไปทั้งหมด เพราะผิวหน้าอาจรับไม่ได้ทั้งหมดและอาจก่อความระคายเคือง อุดตัน หรือปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้ค่ะ
🍓 เรื่องสกินแคร์มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะ ไว้จะมาทยอยเล่าให้ฟังเรื่อย ๆ ฝากคำถามทิ้งไว้ได้
🍓 หากไม่แน่ใจจะใช้อะไร จะปรับอย่างไรดี แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รู้เพิ่มเติมได้ค่ะ

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
👩🏻‍⚕️บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

รูปกระปุกเปิดฝา มีตัวเลข บ่งบอกอะไร

Q: รูปกระปุกเปิดฝา มีตัวเลข ที่เห็นข้างบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางต่าง ๆ มีไว้บอกอะไร


A: บ่งบอกว่า จำนวนเดือนที่เราควรหยุดใช้หลังจากที่เราได้สัมผัสกับเนื้อครีมนั้นแล้ว โดยจะบอกเป็นหลักเดือน เช่น 30M คือ 30 เดือน ดังนั้น นอกจากดูวันหมดอายุแล้ว อย่าลืมดูPAO Period After Opening ด้วยนะ

แพลนให้ดีว่าเปิดแล้วต้องใช้ให้หมดภายในกี่เดือน ถ้าครีมล้นโต๊ะเครื่องแป้งก็อย่าเพิ่งเปิดทดลองอันใหม่ค่ะ ถ้าหากเราเห็นแล้วว่ามีเวลาใช้อีกนานเท่าไหร่

When in doubt,
Ask your Board-certified Dermatologist


บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

Review of AHA & BHA

Skincare Regimen for Glowing skin

ทุกคนก็อยากมีผิวสวยใส แลดูเด็กกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน วันนี้จะมาบอกเคล็ดลับเน้นๆ เพื่อความมีผิวใส เนียนเรียบ เงาวับราวเคลือบแก้ว หรือที่เรียกว่า Glowing skin หรือ Dewy skin นั่นเอง

ทำความเข้าใจกันก่อนว่า โดยปกติกระบวนการผลัดเซลล์ผิวหนังจนกระทั่งผิวที่ตายแล้วหลุดออกไป ใช้เวลาประมาณ 28 วัน เรียกว่า Skin turnover และจะใช้เวลานานขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุของเราที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเหตุให้เซลล์ที่ตายแล้วรวมทั้งสิ่งสกปรกต่าง ๆ ตกค้างและหมักหมมอยู่ที่ผิว เกิดความหมองคล้ำ จุดด่างดำ ผิวไม่เรียบใสเหมือนสมัยวัยเด็ก

ดังนั้น หากเราต้องการทำให้ผิวย้อนวัยกลับไปขาวเนียนใส เราจึงต้องอาศัยตัวช่วยที่สามารถเพิ่ม Skin turnover ให้เร็วขึ้น เพื่อให้กลไลการผลัดเซลล์ผิวมีระยะเวลาใกล้เคียงเดิม

วันนี้จะคุยกันเรื่อง การผลัดเซลล์ผิว ซึ่งหมอเคยเขียนไปบางส่วนในโพสแปรงล้างหน้าไฟฟ้า ซึ่งอันนั้นเป็น Physical exfoliants คราวนี้จะเป็นกลุ่ม Chemical exfoliants ก็คือการใช้สารที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวชั้นตื้นที่ตายแล้ว รวมทั้งสิ่งสกปรกที่ตกค้างบนผิวให้หลุดออก โดยไม่ได้ทำให้โครงสร้างผิวหนังปกตินั้นบางลงอย่างที่หลายคนกังวลใจ วิธีนี้เป็นวิธีที่หมอผิวหนังส่วนมากแนะนำ เนื่องจากสามารถหลีกเลี่ยงการ “Over-scrub” ที่มักจะพบได้บ่อยกว่าจากการใช้วิธี Physical exfoliants

สารที่ใช้ผลัดเซลล์ผิวที่มักผสมในเครื่องสำอางที่พบเจอบ่อย ๆ ได้แก่

AHA (Alpha Hydroxy Acid)

BHA (Beta Hydroxy Acid)

มาทำความรู้จักกันว่าต่างกันอย่างไร

AHA มีหลายชนิด มีทั้งที่ได้จากธรรมชาติ เช่น กรดผลไม้ต่าง ๆ และได้จากการสังเคราะห์

สามารถละลายได้ดีในน้ำ มีคุณสมบัติเด่นคือ

เพิ่มการอุ้มน้ำที่ผิวหนังกำพร้า (Water holding capacity of epidermis)

ผลที่ตามมา คือ ทำให้ผิวชุ่มชื้น นุ่มขึ้น เต่งตึงและสดใสขึ้น

ผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว (Induced desquamation)

ผลที่ตามมา คือ ทำให้ผิวเนียนเรียบ ใส ดูออร่าเหมือนสาวเกาหลีหน้าเซรามิค (Glass skin)

ปรับโครงสร้างผิวชั้นหนังกำพร้าให้เรียงตัวดี และเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวให้สมบูรณ์ ใน 28 วัน (Normalizetion of epidermal differentiation, keratolytic effect)

หากดูรูปประกอบในสไลด์จะเห็นว่าเมื่ออายุมากขึ้น กระบวนการนี้จะใช้เวลานานขึ้น ดังนั้นจึงเสมือนเป็นการปรับกระบวนการผิวให้ย้อนวัยนั่นเอง

ปรับโครงสร้างผิวชั้นหนังแท้ (Dermal changes) จากผลการใช้ระยะยาวหลายเดือน

ผลที่ตามมา มีงานวิจัยยืนยันว่า มีการสร้าง collagen, hyarulonic acid และ glycosaminoglycans มากขึ้น ทำให้ผิวแข็งแรง มีความหนาขึ้น ริ้วรอยลดลง และดูอ่อนกว่าวัย (Youthful looking and antiaging effect)

💯ดังนั้น AHA เหมาะสำหรับคนที่ปัญหาผิว

▫️ผิวแห้ง (Xerosis)

▫️ผิวที่เป็นสิวอุดตันง่าย (Acne-prone skin)

▫️ปัญหาผิวหมองคล้ำ ไม่ขาวใส อยาก Rejuvenation

▫️ปัญหาผิวหนังที่เกิดจากความเสื่อมตามวัย (Aging skin) เช่น ริ้วรอย ฝ้า สีผิวไม่สม่ำเสมอ

▫️โรคผิวหนัง seborrheic keratosis, actinic keratosis, icthyosis, solar lentigine

🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸

BHA เช่น Salicylic acid, Lipohydroxy acid

ละลายได้ดีในไขมัน มีคุณสมบัติเด่นคือ

ซึมผ่านบริเวณรูขุมขนลงไปผิวหนังชั้นที่ลึกกว่าได้ (Deep penetration through the lipid barrier of epidermis) ซึ่งเป็นสิ่งที่ AHA ทำไม่ได้

ละลายสิวที่อุดตัน (Comedolytic effect)

ผลที่ตามมา คือ ทำให้สิวอุดตันลดลง

ลดการสร้าง sebum (Minimized sebum production)

ผลที่ตามมา คือ ควบคุมความมันของผิว

ออกฤทธิ์ลดการอักเสบได้ (Anti inflammatory effect)

ผลที่ตามมา คือ ช่วยลดการอักเสบของสิว ส่งผลให้เกิดรอยดำหลังการเกิดสิวลดลงตามมา

💯ดังนั้น BHA เหมาะสำหรับคนที่ปัญหาผิว

▫️สิวทุกชนิด ทั้งสิวอักเสบและสิวอุดตัน (Inflammatory and comedonal acne)

▫️หน้ามัน (Oily skin)

ถึงตรงนี้น่าจะพอเข้าใจแล้วว่า AHA และ BHA แตกต่างกันอย่างไร และใครควรเลือกใช้อะไร

🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸🔸

👩🏻‍⚕️ มาถึงช่วงตอบคำถามจากโพสค่ะ

💯 ความเข้มข้นที่เหมาะสมใน Skincare ควรเท่าไหร่ดี

: กรณีผสมในผลิตภัณฑ์เวชสำอางค์ ความเข้มข้นที่ปลอดภัยและได้ผลของ AHA คือ 3-15% และ BHA คือ 1-2% โดยพบว่า 3% AHA ออกฤทธิ์ได้ 1-3 ชั้นของ epidermis และหากเพิ่มเข้มข้นขึ้นจนถึง 10% จะสามารถออกฤทธิ์ได้ลงลึกครบทุกชั้นของ epidermis

หากสูงกว่านั้นถือเป็นหัตถการที่ควรทำด้วยความระมัดระวังโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ

โดยที่ความเข้มข้นที่สูงขั้น จะให้ผลที่เร็วกว่า แต่อะไรก็ตามผลข้างเคียงที่ตามมาก็มากขึ้นด้วย

💯 AHA ที่ได้จากผลไม้แต่ละชนิด แตกต่างกันหรือไม่ ในการใช้ผลัดเซลล์ผิว

หากดูแล้วแต่ละตัวจะมีความต่างกันอย่างไรในแง่ของค่า pKa และ โมเลกุล

: หลักการของค่า pKa คือ ยิ่งต่ำ ยิ่งมีความสามารถในการผลัดเซลล์ผิวได้มากกว่า (เมื่อเทียบความเข้มข้นเท่ากัน)

: หลักการของโมเลกุล ยิ่งเล็ก ยิ่งมี bioavailability ดี

🍍Citric acid มี pKa ต่ำที่สุด คือ 3.09 และนิยมนำมาใช้เป็น pH adjuster เพื่อปรับ pH ให้เหมาะสมกับการออกฤทธิ์ของสารต่าง ๆ

🍍Glycolic มีโมเลกุลเล็กสุดและไม่ซับซ้อนที่สุด ซึ่งมีผลให้ bioavailability ดีที่สุด จึงนิยมใช้เป็น gold standard ในการผลัดเซลล์ผิว รักษาริ้วรอยและความหมองคล้ำ superficial hyperpigmentation, fine line, mild to moderate photoaging skin

🍍Lactic โครงสร้างคล้าย Glycolic และโมเลกุลใกล้เคียงกัน pKa ใกล้เคียงกัน จึงเป็นคู่แข่งสำคัญในการนำมาใช้เทียบกับ Glycolic

🍍Mandelic, Tartaric, Malic ค่อนข้างอ่อน นิยมใช้เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น มากกว่าผลัดเซลล์ผิว

💯 AHA แต่ละตัวต่างกันหรือไม่ ในการใช้ในระยะยาว

: มีงานวิจัยรับรองว่า ทุกตัวออกฤทธิ์คล้ายกันดังที่กล่าวไปข้างต้น

แต่การใช้อย่างต่อเนื่องระยะยาว จะมีความโดดเด่นในการกระตุ้นโครงสร้างในชั้นผิวหนังแท้ต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อฤทธิ์ในการทำให้ผิวอ่อนเยาว์ (antiaging effect) ได้แก่

🍓Lactic acid เด่นเรื่อง Ceramide synthesis

🍋Glycolic acid เด่นเรื่อง Collagen synthesis, fibroblast proliferation

🍊Citric acid เด่นเรื่อง GAGs synthesis, antiaging effect, pH adjuster

ซึ่งหากผลิตภัณฑ์ใดมีส่วนประกอบครบถ้วน ในปริมาณที่เหมาะสม และในรูปแบบที่เสถียรและ slow release ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า

💯 ใช้ AHA และ BHA ร่วมกันได้หรือไม่ และหากไม่เคยใช้ควรเริ่มต้นอย่างไร

: ใช้ร่วมกันได้ค่ะ แนะนำว่าควรเลือกตามสภาพปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข บางท่านอาจจำเป็นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ปัญหาผิวของบางท่านจำเป็นต้องใช้ทั้งสองอย่างค่ะ

: สิ่งที่แนะนำที่ดีที่สุดคือ ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเพื่อวิเคราะห์ปัญหาผิวและช่วยดูว่าต้องแก้ไขอะไรบ้าง หากเริ่มใช้อาจลองในความเข้มข้นต่ำ ทดสอบอาการแพ้ระคายเคืองที่ผิวหนังบางจุดก่อน เช่น ไรผม หน้าหู เป็นต้น

💯 AHA และ BHA จะออกฤทธิ์เสริม (synergistic effect) กับการทาร่วมกับยาทาหรือครีมอื่นอะไรได้บ้าง

🦠 การใช้ lactic acid and its ammonium salt คู่กับ topical corticosteroids ช่วยป้องกัน dermal atrophy ได้

🦠 การเริ่มทา topical retinoids นำไปก่อน 2 สัปดาห์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ AHA, BHA มากขึ้น

🦠 การทา AHA จะทำให้ pH ที่ผิวต่ำลง ทำให้ topical ascorbic acid ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น แต่ในทางกลับกัน อาจต้องเว้นระยะอย่างน้อย 10-15 นาทีก่อนการทาสกินแคร์ตัวอื่นต่อ ทั้งนี้เพื่อรอให้ pH ที่ผิวกลับมาเป็นปกติก่อน

💯 หากทา AHA แล้วเกิดการระคายเคือง แสบ แดง ลอก ทำอย่างไร

อันดับแรกควรหยุดใช้ และไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา

: หากเป็นจากการแพ้ ควรหยุดใช้

: หากเป็นจากการระคายเคือง ทำได้โดยลดความเข้มข้น, ลองทาเฉพาะบางบริเวณ, ใช้รูปแบบที่เป็น slow release เพื่อลดการระคายเคืองได้ ทาครีมบำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นร่วมด้วย และควรทาครีมกันแดดในทุกเช้าเพื่อลดการระคายเคืองและผิวหมองคล้ำจากแสงแดด

💯 ยี่ห้อไหนดี

: การตัดสินใจซื้อครีมสักชิ้นคงต้องขึ้นกับหลายปัจจัยรวมทั้งความพึงพอใจส่วนบุคคล เช่น ต้องการประสิทธิภาพดีที่สุดตามหลักการทุกอย่าง ผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน มีชื่อเสียงยอมรับ บรรจุภัณฑ์ดี ชนิดของเนื้อครีมที่เหมาะกับผิว เช่น เจล ซีรั่ม โลชั่น ครีม รวมทั้งราคา โดยผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวใหม่ ๆ ก็มักจะมีการปรับในเรื่องของเทคโนโลยีการลดระคายเคืองให้น้อยที่สุด เนื้อครีมเสถียรคงตัวมากขึ้น เพื่อประสิทธิภาพให้ได้ตามหลักการ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ถึงราคาที่ต้องมากขึ้นไปด้วยตามลำดับ

วันนี้ทุกคนก็ได้ทราบหลักการแล้ว สามารถนำไปประกอบการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความเหมาะสมของสภาพปัญหาผิวที่มี หากมีประเด็นที่สงสัยสามารถคอมเม้นต์ถามได้ แล้วหมอจะมาตอบในโพสหน้านะคะ

💯 อยากทราบผลิตภัณฑ์ AHA BHA ที่คุณหมอใช้

: ตอนนี้ใช้อยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งคิดว่าโอเคมาก ๆ ไว้จะมาเล่าให้ฟังในช่วง Skincare Battle ขอเวลาเขียนสองวันนะ

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️

References

Australasian Journal of Dermatology (2017) doi: 10.1111/ajd.12715

Molecules 2018; 23, 863 doi: 10.3390/molecules23040863

J Am Acad Dermatol 2019; 81: 313-24.

Am J Clin Dermatol 2010; 11: 95-102.

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.