เชื่อว่าเวลาเกิดบาดแผล หลายคนมักจะนึกถึงการหายาฆ่าเชื้อมาทา เช่น Alcohol, Betadine, H2O2, Chlorhexidine โดยหารู้ไม่ว่าสารเหล่านี้อาจทำลายเนื้อเยื่อบริเวณแผลได้ และความจริงแล้วอาจไม่จำเป็นเท่าการล้างแผลให้สะอาด ป้องกันการติดเชื้อและการดูแลแผลให้สมานและหายเร็วโดยเกิดรอยดำหรือแผลเป็นนูน ให้น้อยที่สุด
บางคนยังมีความเข้าใจที่ยังไม่ถูกเท่าที่ควร โพสต์นี้จึงอยากเล่าให้ฟังถึงวิธีการดูแลแผลสดให้เข้าใจอย่างง่าย
แผลที่เกิดขึ้นภายในไม่เกิน 30 วันจัดเป็น แผลเฉียบพลัน (Acute wound) เช่น แผลจากอุบัติเหตุ หรือ แผลจากการผ่าตัด ซึ่งความรุนแรงแตกต่างกันไป บางคนอาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อนหรืออาจมีการสูญเสียเนื้อเยื่อผิวบางส่วนก็ได้

กรณีแผลสดที่ลึกไม่เกินชั้นหนังแท้ (dermis) จะสามารถสมานเองได้ โดยมีขั้นตอน 4 อย่าง ได้แก่

ขั้นตอน 1 กระบวนการหยุดเลือด
เส้นเลือดจะมีการหดตัว และมีการจับกลุ่มขอบเกล็ดเลือดบริเวณแผล เพื่อให้เลือดหยุด นอกจากนั้นยังมีการหลั่งสาร cytokines ต่าง ๆ มาช่วยในกระบวนการนี้
ขั้นตอน 2 กระบวนการอักเสบ
เกิดการกระตุ้นการเกิดอักเสบ ทำให้มีอาการปวด บวม แดง ร้อน ตามมาได้ ระยะนี้เซลล์เม็ดเลือดขาวต่าง ๆ จะออกมากระจุกที่แผลเพื่อช่วยกำจัดเชื้อโรคและเนื้อตาย
ขั้นตอน 3 กระบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่
ประกอบด้วย Ground substance, granulation tissue, เส้นเลือด มีการสร้างเส้นใยคอลลาเจน รวมทั้งมีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาปกคลุมบริเวณแผล ซึ่งขั้นตอนนี้จะเกิดได้ดีเมื่อแผลอยู่สภาวะความชื้นที่เหมาะสม ไม่แห้ง ไม่มีสะเก็ดหรือเนื้อตายมาขวางอยู่
ขั้นตอน 4 กระบวนการปรับสมดุลโครงสร้างของแผล
จะมีการหดตัวของแผล และ เส้นใยคอลลาเจนมีการเรียงตัวสวยงาม ทำให้แผลแบนราบลง ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้เวลาช้าเร็วในแต่ละคนแตกต่างกัน
โดยปกติเมื่อเกิดบาดแผลเฉียบพลัน (Acute wound) ที่ไม่รุนแรงมาก แนะนำดังนี้ค่ะ

- ล้างแผลให้สะอาดด้วยน้ำเกลือ ตรงนี้สามารถทำเองที่บ้านได้ ยกเว้นถ้าแผลใหญ่ รุนแรง สกปรก อาจต้องพบแพทย์เพื่อทำการ debridement ร่วมด้วยค่ะ
- หลังจากนั้นแนะนำให้ใช้ Wound Dressing ที่เหมาะสม แนะนำให้เลือกตามชนิดแผลและคุณสมบัติ แนะนำให้ใช้กลุ่มวัสดุที่ช่วยควบคุมความชื้นให้เหมาะสมได้ด้วย ยกตัวอย่าง
กรณีแผลมีน้ำเหลืองแฉะมาก
อาจเลือก Foams, alginates, hydrofibers เพราะช่วยดูดซับสารคัดหลั่งได้ดี
กรณีแผลเล็กน้อย ค่อนแห้ง
อาจเลือก Hydrocolloids, hydrogel กลุ่มนี้ยึดติดพื้นผิวดี และช่วยป้องกันแผลจากการปนเปื้อนของสิ่งสกปรกและเชื้อโรคจากภายนอก
กรณีแผลมีน้ำเหลืองนิดหน่อย
เช่น แผลหลังทำเลเซอร์กลุ่ม resurfacing แผลผิวหนังอักเสบจากการแพ้ระคายเคือง แผลมีดบาด แผลไฟไหม้หรือแผลถลอกตื้น ๆ (partial to full-thickness skin depth) เป็นต้น อาจเลือกเป็น Hydrogels ซึ่งเป็น semipermeable semitransparent polymer gel ช่วยดูดซับน้ำเหลืองได้นิดหน่อย ข้อดี คือ ช่วยเพิ่มความชื้นให้แผลที่แห้งได้ดี ซึ่งทำให้กระบวนการสมานแผลทำได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดอาการปวดได้ และช่วยทำให้รู้สึกเย็นที่แผล


Hydrogel มีทั้งแบบแผ่นแปะปิดแผล และ แบบเจลทา
แบบแผ่นแปะ สามารถระเหยได้ และหลุดง่าย แนะนำให้มีวัสดุปิดยึดและทำการเปลี่ยนเมื่อแผลแห้ง
แบบเจล ใช้ง่ายสะดวก ปัจจุบันมีขายตามท้องตลาด หาซื้อง่าย
BOTTOM LINE
ถึงแม้กระบวนการหายของแผลที่ไม่รุนแรงนั้นสามารถเกิดได้เองตามธรรมชาติ แต่หากเรารู้ว่าต้องดูแลแผลอย่างไรอย่างถูกวิธี ก็จะช่วยให้แผลสมานไวขึ้น แผลหายเร็วและทิ้งร่อยรอยเอาไว้น้อยที่สุดหรือหายเนียนเหมือนผิวปกติเลยก็ได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็ต้องขึ้นกับผิวแต่ละบุคคลซึ่งอาจแตกต่างกันไป
—————————–
References
J Int Med Res. 2009 Sep-Oct;37(5):1528-42.
Open Biol. 2020 Sep;10(9):200223.
Biomedicines. 2021 Sep 16;9(9):1235.
—————————–
[Advertorial]
Dermatix Wound Care หรือเรียกง่ายๆว่า ไฮโดรเจลสมานแผล
ส่วนประกอบสำคัญ
- Carbomer Intelligent Hydrogel นวัตกรรมไฮโดรเจล ช่วยควบคุมระดับความชื้นให้เหมาะสมกับการสมานแผล
- Carnosine กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อ เส้นเลือด เส้นใยคอลลาเจน และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
- Emoillients ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิว ได้แก่ cetrearyl ethylhexanoate, isopropyl myristate stearyl heptonoate, stearyl caprylate
เหมาะกับใช้ทาแผลถลอก แผลอักเสบ แผลถูกบาด แผลไหม้ที่ไม่รุนแรง แผลน้ำร้อนลวก แผลมอเตอร์ไซค์ล้ม
ปราศจากพาราเบน

—————————–
อ่านบทความย้อนหลังที่
รวมลิ้งค์ https://opl.to/drwarayuwadee
บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.