All posts by Warayuwadee Amornpinyo, M.D.

Dermatologist's Blog written by Warayuwadee Amornpinyo, M.D.

OWR or HHT

เคสสวย ๆ จาก NEJM ที่พบเจอได้เรื่อย ๆ และอาจนำมาสอบ long case ได้

Credit ภาพ https://nej.md/2Ku5WxD

“ผู้ป่วยหญิง 74 ปี มีแขนขาซีกซ้ายอ่อนแรง สาเหตุเป็นจาก acute Rt MCA infarction
ตรวจร่างกายที่ปากและมือเจอดังภาพ
เมื่อเห็นดังนี้แล้ว ทำให้เรานึกถึง Hereditary hemorrhagic telangiectasia”

มาทำความรู้จักโรคนี้กันคร่าว ๆ ค่ะ

Hereditary hemorrhagic telangiectasia หรือ Osler Weber Rendu disease (OWR)

เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ autosomal dominant เกิดจากมีความผิดปกติของหลอดเลือดที่อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย

อาการแสดง
บางรายไม่มีอาการ บางรายมีอาการรุนแรงมากถึงขั้นเสียชีวิตได้

อาการแรกเริ่มในวัยเด็ก ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วย “เลือดกำเดาไหล” (Earliest sign คือ epistaxis)
หลังจากนั้นเมื่ออายุมากขึ้น จะเริ่มมีอาการแสดงของอวัยวะที่ผิดปกติจากการมีหลอดเลือดโป่งพองในที่ต่าง ๆ (Visceral arteriovenous malformation) เช่น AVMs of liver, lung, brain

✔️ Epistaxis
เกิดจาก telangiectasia of nasal mucosa ซึ่งพบว่ามีปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญได้แก่ ท่าทาง, สภาพอากาศร้อนชื้น, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, อาหารเผ็ด, อาหารที่มี salicylate สูง, อาหารที่กระตุ้นไมเกรน

✔️ GI bleeding
เกิดจาก
1) telangiectasia along GI tract สามารถพบได้ทุกที่ บ่อยที่สุดที่ stomach, duodenum, colon เมื่อส่องกล้องจะพบ telangiectasia with surrounded anemic halos
2) AVMs ต้องอาศัยการวินิจฉัยด้วย angiography

✔️ Iron deficiency anemia
จาก blood loss

✔️ Characteristic telangiectasia
บริเวณ lip, oral mucosa, fingertips

✔️ Pulmonary AVMs พบ 50%
เริ่มพบเมื่อวัยรุ่น puberty อาจส่งผลให้เกิด systemic venous blood bypass ไปสู่ normal pulmonay circulation เป็นผลให้เกิด paradoxical embolic stoke, brain abscess, migraine

✔️ Hepatic AVMs พบ 30%
อาจทำให้เกิด high output heart failure


✔️ Cerebral AVMs พบ 10%
อาจทำให้เกิด hemorrhagic stroke ตามมา

🌟 ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ

  • High output heart failure
  • Portal hypertention
  • Liver failure
  • Hemoptysis
  • Polycythemia
  • Cerebral abscess
  • Stroke : จากหลายสาเหตุ ได้แก่ intracranial bleeding from AVMs, Paradoxical embolic stoke

🌟 Criteria วินิจฉัย
ตาม International consensus diagnostic criteria for HHT

  1. Spontaneous and recurrent nose bleeding
  2. Multiple mucocutaneous telangiectasia at characteristic sites
  3. Visceral involvement
  4. 1st degree relative with HHT
    โดยแบ่งเป็น
    Definite (3/4 ข้อ)
    Suspected (2/4 ข้อ)
    Unlikely (0/4 ข้อ)

🌟 สามารถยืนยันการวินิจฉัยด้วย genetic testing ตรวจหา Mutation of ENG, ACVRL1, SMAD4

🌟 การรักษา ขึ้นกับอวัยวะที่แสดงอาการผิดปกติ
ในรายที่ยังไม่แสดงอาการ แนะนำให้ตรวจ screening for Pulmonary AVMs

🌟 กรณีหญิงตั้งครรภ์ พบมี 1% risk of death จากสาเหตุดังนี้
PAVM hemorrhage
Cerebral hemorrhage
Thrombotic complication

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.

CPG Anaphylaxis 2016

อัพเดทแนวทางการรักษาภาวะ Anaphylaxis เบื้องต้น โดยสมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย (ฉบับเต็มตามลิ้งค์)

http://allergy.or.th/2016/pdf/Thai_CPG_Anaphylaxis_2017_Full_version.pdf

HELLO SKIN

โรคเซบเดิร์มหรือโรครังแคบนหนังศีรษะ รักษาอย่างไรให้ถูกวิธี ‼️

Seborrheic dermatitis or Dandruff

ไม่มีวันไหนที่เดินออกจากบ้านแล้วไม่เจอคนเป็นโรคนี้แน่นอนค่ะ มาทำความรู้จักกัน

โรคเซบเดิร์มเกิดจากอะไร

👩🏻‍⚕️: ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เชื่อว่ามีหลายปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภาวะผิวหนังอักเสบชนิดนี้ ได้แก่
📌 ผิวมัน จึงเห็นได้ว่า มักเกิดผื่นบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ เช่น ร่องแก้ม หัวคิ้ว หนังศีรษะ อก หลัง เป็นต้น
📌 เชื้อรา Malassezia ซึ่งชอบไขมัน
📌 สภาพอากาศ โดยเฉพาะอากาศเย็น ความชื้นต่ำ ผิวแห้ง จะทำให้ผื่นเห่อมากขึ้น
📌 ความเครียด นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้มีอาการกำเริบของผื่นได้
📌 การดื่มสุรา
📌 การเสียดสี แกะเกาผิวหนัง เป็นการกระตุ้นอีกทางที่ทำให้ผื่นเห่อมากขึ้น
📌 ปัจจัยทางกรรมพันธุ์ ที่มี Mutation of ZNF750

ใครมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้บ้าง

👩🏻‍⚕️: ผู้ที่ผิวมัน, ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เอชไอวี (CD4 200-500 cell/mm3), ผู้ป่วยระบบประสาท เช่น อัมพฤกษ์อัมพาต พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ ลมชัก
***ดังนั้นควรนึกถึงและตรวจหาภาวะเอชไอวีร่วมด้วยเสมอถ้าหากมีลักษณะของเซบเดิร์มที่น่าสงสัย คือ
🔥 อาการรุนแรง ผื่นลามบริเวณกว้าง (Severe, extensive disease)
🔥 ไม่ตอบสนองการรักษา (Refractory disease)


มีภาวะขาดวิตามินอะไรบ้างที่แสดงอาการเช่นนี้ได้

👩🏻‍⚕️: B2, B6, Zinc deficiency


โรคนี้หายขาดหรือไม่และรักษาอย่างไร

👩🏻‍⚕️: โรคเซบเดิร์มเป็นโรคที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาด การรักษาส่วนใหญ่เป็นการรักษาให้ภาวะกำเริบหายเร็วขึ้น ส่วนมากใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ต่อการรักษาในแต่ละครั้งของการกำเริบ

🌈 ยาในกลุ่มยาทา
☘️ ยาทากลุ่มสเตอรอยด์
☘️ ยาทาฆ่าเชื้อรา 2% Ketoconazole cream
☘️ ยาทากลุ่ม Calcineurin inhibitor เช่น Tacrolimus, Pimecrolimus
☘️ แชมพูสระผมที่มีส่วนผสมของ Selenium sulfide, Ketoconazole, Zinc, Tar เพื่อลดอาการรังแคที่หนังศีรษะ
☘️ กรณีผื่นที่ลำตัว อาจใช้แชมพูดังกล่าว ผสมน้ำฟอกทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออกตามด้วยการอาบน้ำปกติ

🌈 ยาในกลุ่มรับประทาน (กรณีโรครุนแรง ดื้อต่อการรักษา ควรได้รับการรักษาควบคุมโดยแพทย์)
☘️ ยากินฆ่าเชื้อรา Itraconazole 200 mg/day นาน 1 สัปดาห์
☘️ ยากินกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ Isotretinoin 10 mg AD นาน 3-4 เดือน ขึ้นกับผู้ป่วยแต่ละราย

🌈 การฉายแสง Narrow Band UVB สัปดาห์ละ 3 ครั้ง จนหาย

การปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคเซบเดิร์ม

👩🏻‍⚕️: ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่าเป็นโรคที่ไม่หายขาด การหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นเป็นการป้องกันการกำเริบของโรคที่ดีที่สุดค่ะ และหากมีการกำเริบ ควรมาพบแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกวิธี

สุดท้ายนี้เป็นสิ่งที่ผู้ป่วยมักถามเสมอถึงการใช้ครีมต่างๆในช่วงที่มีอาการกำเริบ ดังนี้นะคะ

🎭 ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด และทาครีมบำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นเพื่อป้องกันผิวแห้ง
🎭 เลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ แอลกอฮอล์ หรือผลิตภัณฑ์ที่จะทำให้ผื่นกำเริบ เช่น After shave, Toner, Hair spray
🎭 หลีกเลี่ยงการแกะเกาบริเวณผื่น เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนค่ะ


References

• Fitzpatrick 8th edition
• Bolognia 4th edition
• ภาพถ่ายได้รับการขออนุญาตจากผู้ป่วยเพื่อการเรียนรู้ ห้ามมิให้มีการนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเพจค่ะ

บทความลิขสิทธิ์ © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง

ช่วยด้วย..ผมคอเหี่ยวทำยังไงดี

🙄 คุณหมอครับ บริเวณคอและท้ายทอยของผมทำไมเหี่ยวย่นคล้ำลงคล้ายเบาะหนังเป็นแบบนี้ ???

🌈 การที่ผิวหนังบริเวณหลังคอเกิดการหนาตัวและมีรอยย่นมากขึ้น จนดูคล้ายเบาะหนัง (leather-liked wrinkled skin) และมีสีอมเหลือง (yellowish discoloration) ดังภาพนี้ เราเรียกว่า Cutis Rhomboidalis Nuchae เป็นสัญญาณบ่งว่าผิวเกิดความชรามากขึ้นจากการถูกแดดเป็นประจำนั่นเอง โดยเฉพาะเพศชายที่ผมสั้น และมองข้ามการปกป้องแสงแดดให้กับผิวบริเวณนี้

🌈 หากปล่อยไว้นานๆ จะเป็นอย่างไร


A: รอยเหี่ยวย่นและหมองคล้ำจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ และ หากมีจุดหรือรอยโรคที่เกิดตามมาอาจต้องระวังการเกิดมะเร็งผิวหนังในบริเวณนี้ได้ค่ะ

🌈 หากตอนนี้ยังไม่เป็นแบบนี้ มีวิธีการป้องกันหรือไม่


A: การปกป้องแสงแดดอย่างถูกวิธีสามารถช่วยป้องกันได้ค่ะ เช่น ทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป ปกป้องทั้ง UVA UVB VL, ใส่หมวกปีกกว้าง กางร่มเป็นประจำหากต้องออกกลางแจ้ง หากเป็นไปได้ควรเลี่ยงแสงแดดช่วง 10.00 – 15.00 น. สวมเสื้อผ้าที่มิดชิดมีคอปก

🌈 มีวิธีการรักษาหรือไม่


A: ภาวะนี้จะรักษาหากเมื่อผู้ป่วยมีความกังวลเรื่องความสวยงาม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการที่ช่วยให้รักษาได้ผล มีรายงานการใช้ยาทาในกลุ่มสเตอรอยด์ วิตามินเอและ calcineurin inhibitor อาจช่วยทุเลาอาการได้บ้างในบางราย

นอกจากผิวที่บริเวณต้นคอแล้ว ความเสื่อมของผิวจากการทำลายจากแสงแดดยังสามารถเกิดได้ทุกส่วนที่ต้องเผชิญกับแสงแดดเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น การปกป้องผิวให้ถูกวิธีจะช่วยชะลอความแก่ของผิวได้ และยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังในอนาคตได้ค่ะ

อ่านจบแล้วอย่าลืมส่องกระจกดูคอของตัวเองและคนที่คุณรักนะคะ

❤️❤️❤️
▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
เรียบเรียงบทความโดย แพทย์หญิงวรายุวดี อมรภิญโญ อายุรแพทย์โรคผิวหนัง

ซีม่าโลชั่น..ทาแล้วผิวขาวขึ้นจริงหรือไม่

💭 คุณหมอคะ เพื่อนแนะนำให้ไปซื้อซีม่าโลชั่นมาทาให้ศอกเข่าขาวใส หนูเห็นคนบอกว่าเป็นยาฆ่าเชื้อรา.. หนูควรซื้อมาทาให้ขาวดีมั้ยคะ ?

👩🏻‍⚕️: ก่อนอื่นหมอต้องแก้ไขความเข้าใจด้วยการอธิบายก่อนว่า ซีม่าครีม และซีม่าโลชั่น มีส่วนประกอบต่างกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดในการเลือกใช้ได้
🔹 ซีม่าครีม คือ 1% Clotrimazole
🔹 ซีม่าโลชั่น คือ 11.8% Salicylic acid + 3.8% Resorcinol + 0.825% Phenol

👩🏻‍⚕️: ทาซีม่าโลชั่นแล้วแสบ แต่ครีมไม่แสบ ?


🔹 เพราะซีม่าโลชั่นมีส่วนประกอบของกรดอ่อนๆ อาจทำให้มีการระคายเคืองผิว แสบร้อน มีการหลุดลอกของผิว ทำให้ขาวขึ้นได้ หากเป็นรุนแรงอาจมีอาการไหม้ของผิวและเกิดแผล รอยดำ ตามมาได้
ส่วนแบบครีมนั้น ไม่มีส่วนผสมดังกล่าว จึงทาแล้วไม่แสบ ความคิดที่ว่าซีม่าครีมดีกว่า อ่อนกว่า ทาแล้วไม่แสบไม่ไหม้ เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง

👩🏻‍⚕️: สามารถใช้ทากรณีใดบ้าง


🔹 ซีม่าครีม ใช้รักษาภาวะติดเชื้อรา เช่น กลาก เกลื้อน ฮ่องกงฟุต
🔹 ซีม่าโลชั่น ใช้รักษาภาวะผิวอักเสบหรือเชื้อรา ในบริเวณที่มีผิวหนาด้าน เช่น ศอก เข่า เท้า

👩🏻‍⚕️: ที่มาของซีม่าโลชั่นห้ามทาไข่


🔹 เพราะมีส่วนประกอบของสารที่เป็นกรดอ่อนๆ อย่างที่กล่าวไป การทาในบริเวณที่บอบบาง เช่น ไข่ จะทำให้มีอาการแสบร้อน ไหม้ ทุรนทุรายได้ จึงเป็นที่มาของคำว่า #ซีม่าโลชั่นห้ามทาไข่

🔘🔘🔘🔘🔘🔘🔘🔘🔘🔘


🏳️‍🌈 ซีม่าครีมทาสังคังได้ เพราะมียาฆ่าเชื้อรา
🏳️‍🌈 ซีม่าโลชั่นห้ามทาไข่ เพราะมีความเป็นกรด
🏳️‍🌈 ภาพถ่ายนำมาจาก google ขออนุญาตผู้ประกอบการใช้เพื่อการเรียนรู้
🏳️‍🌈 หากเจอผู้ป่วย อย่าลืมถามว่าทาชนิดครีมหรือโลชั่น และเลือกใช้ให้ถูกวิธีนะคะ

เรียบเรียงบทความโดย แพทย์หญิงวรายุวดี อมรภิญโญ อายุรแพทย์โรคผิวหนัง ‍⚕️ HELLO SKIN

ภาวะขาดสังกะสี (Zinc deficiency)

ภาวะนี้สามารถพบได้ตั้งแต่ทารกหรือวัยผู้ใหญ่ก็ได้

สาเหตุ

  1. Inherited อาจเรียกว่า Acrodermatitis enteropathica มักมีสาเหตุจาก deficiency of the enterocyte zinc transporter ต้องสงสัยในทารกที่มีอาการในช่วงหย่านมแม่ เปลี่ยนมาทานนม formula-fed แทน เนื่องจากการดูดซึมสังกะสีจากนมผงนั้นไม่ดีเท่าการดูดซึมสังกะสีจากนมแม่ ทำให้เกิดภาวะขาดสังกะสีตามมา ภาวะนี้มักเกิดใน 2-3 สัปดาห์แรก
  2. Acquired เกิดจากการได้รับสังกะสีจากอาหารไม่เพียงพอ พบบ่อยในกลุ่มเสี่ยง คือ คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกคลอดน้อย ได้สารอาหารทางเส้นเลือด มีภาวะเจ็บป่วยหรือมีโรคที่ทำให้การดูดซึมสังกะสีผิดปกติ

อาการแสดง

✅ ผื่นลักษณะดังภาพ บริเวณรอบปากรอบทวาร และแขนขา (periorificial and acral dermatitis)
✅ ท้องเสียถ่ายเหลว (diarrhea)
✅ ผมร่วง (alopecia)
พบว่าผู้ป่วยจะมีอาการแสดงครบทั้งสามอย่างเพียง 20% เท่านั้น จึงควรต้องสงสัยหากบริบทเข้าได้และเริ่มแสดงอาการข้างต้น แม้อาจยังไม่ครบ triad ก็ตาม

ภาวะที่ต้องวินิจฉัยแยกโรค

🔹 Psoriasis
🔹 Atopic dermatitis
🔹 Seborrheic dermatitis
🔹 Langerhan cell histiocytosis
🔹 Nutritional dermatoses เช่น biotin and essential fatty acid deficiency, pellagra, cystic fibrosis, and organic acidurias

การรักษา

ผู้ป่วยมักมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วใน 1-2 สัปดาห์หลังจากให้ Zinc supplementation

🏳️‍🌈 กรณี Hereditary ผู้ป่วยมักต้องการการรักษาไปตลอดเนื่องจากเป็นความบกพร่องของระบบร่างกาย โดยให้เริ่มต้นที่ 3 mg/kg/d ของ elemental zinc ตรวจติดตาม serum zinc levels และ zinc-dependent enzymes (alkaline phosphatase) ทุก 3-6 เดือน
🏳️‍🌈 กรณี acquired casesให้การชดเชยสังกะสีในช่วงที่มีอาการและสามารถหยุดการรักษาเมื่อสามารถรักษาแก้ไขปัจจัยสาเหตุได้แล้ว โดยให้ 0.5-1 mg/kg/d of elemental zinc

ที่มา KKUJM 2015;1:12-19.

สรุปประเด็นสำคัญ

💯 Zinc is more bioavailable in breast milk than in other sources
💯 In infancy, this is self-limited and related to insufficient maternal zinc levels
💯 Acquired cases result from dietary deficiency

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
ที่มาของเนื้อหาและรูปผู้ป่วยจาก
JAMA Dermatol. 2019;155(11):1305.
Zinc in Clinical Uses, KKUJM 2015;1:12-19
Pediatr Dermatol. 2002;19(5):426-431.
J Am Acad Dermatol. 2007;56(1):116-124.
Rev Med Chil. 2013;141(11):1480-1483.
Medicine (Baltimore). 2016;95(20):e3553.

เรียบเรียงบทความโดย แพทย์หญิงวรายุวดี อมรภิญโญ อายุรแพทย์โรคผิวหนัง⚕️

รู้จัก Burrow’s Solution หรือไม่

🧴🧴🧴🧴🧴🧴🧴🧴🧴🧴🧴🧴

มีคำถามมากมายว่าสิ่งนี้คืออะไร ความจริงแล้วเบอโร่วโซลูชั่น เป็นน้ำยาที่ดีงาม ราคาย่อมเยาว์ ใช้ได้ผลดีมากในการประคบแผลเปียก ที่เกิดจากการอักเสบเฉียบพลัน (Acute Eczema) ที่แพทย์หลายๆท่านชอบใช้กัน

HELLO SKIN by หมอผิวหนัง

💊 Burrow’s Solution คืออะไร

A: สารละลายที่นิยมเตรียมไว้ใช้สำหรับประคบทำแผลเปียก​ บางที่เรียกว่า​ Aluminium acetate Solution
มีส่วนประกอบ​ของสารหลักๆในปริมาณแล้วแต่ตำรับยาของแต่ละ รพ.​ได้แก่

  • Aluminium sulfate
  • Acetic acid
  • Precipitated Calcium Carbonate
  • Purified Water
  • Boric acid (อาจมีหรือไม่มีแล้วแต่ตำรับยา)
    โดยก่อนใช้ทำแผล​ นิยมผสมในสัดส่วน​ 1:10 ถึง​ 1:40

💊 มีวิธีการใช้ในการทำแผลเปียกเป็นอย่างไร

A: หมอมีวิธีแนะนำง่ายๆสามารถทำให้ผู้ป่วยที่บ้านได้เองดังนี้

  1. ใช้ผ้าสะอาดบางๆ​ เช่น​ ผ้าก๊อซ​ ผ้าฝ้าย​ ปลอกหมอน​ หรือเสื้อยืดบางๆ​ ชุบ​ Burrow​ แล้วบิดผ้าให้หมาดๆ
  2. วางผ้าที่ชุบ​ Burrow​ แล้วลงบนรอยโรคให้คลุมทั้งหมด​ ทิ้งไว้​ 5-10​ นาที​ แล้วชุบใหม่​ ทำซ้ำ​ 2-3 รอบในการทำแผลแต่ละครั้ง​ แนะนำให้ทำ​ 3-5 ครั้งต่อวัน​ โดยความถี่ในการทำแผลเปียกนั้นอาจเพิ่มลดได้ขึ้นกับความรุนแรงของแผล
  3. ทาด้วยครีมสเตอรอย์แล้วปิดแผล

💊 มีคำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้อย่างไรบ้าง

🚫 ไม่ควรเท Burrow​ ลงที่แผลโดยตรง​ หรือเทเพิ่มลงในผ้า​ เนื่องจากอาจทำให้เกิดการระคายเคืองแผลและผิวหนังบริเวณรอบ
🚫 ทำทุกวันและหยุดเมื่อแผลแห้งแล้ว
🚫 หากไม่มี​ Burrow’s​ Solution สามารถใช้​น้ำเกลือ​ NSS แทนได้​ โดยวิธีการทำแผลเหมือนกัน

💊 นอกจากการใช้ประคบทำแผลเปียกแล้วสามารถใช้ทำอย่างอื่นได้หรือไม่

A: มีรายงานว่าใช้ได้ผลในการประคบร่วมกับประคบอุ่น​ ช่วยลดอาการบวมและปวดจากภาวะเล็บขบ​ (Ingrowing Nail) และมีรายงานการใช้ทำความสะอาดหูใน​เคส otitis แต่อย่างไรก็ตาม​ เป็น​ off-label use ทั้งสองกรณี

การทำแผลที่ถูกวิธีเป็นปัจจัยที่สำคัญในการช่วยให้แผลหายได้เร็ว และลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นที่อาจเกิดตามมา เช่น การติดเชื้อ การเกิดแผลเป็นรอยด่าง รอยดำ จึงอยากให้เล็งเห็นประเด็นเล็กน้อยที่ในบางครั้งหลาย ๆ คนอาจมองข้ามไป

หากมีแผลเรื้อรังไม่ทราบสาเหตุ​ รักษาไม่หายสักที​ แนะนำปรึกษา​ Board​ Certified​ Dermatologist นะคะ​

▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
เรียบเรียงบทความโดย แพทย์หญิงวรายุวดี อมรภิญโญ อายุรแพทย์โรคผิวหนัง

คุณหมอ..ทาวิตามินซีตัวไหนดี

ในฐานะที่เป็นอายุรแพทย์โรคผิวหนังก็มักจะมีคนถามเสมอว่า


“คุณหมอ_ทาวิตามินซีตัวไหนยี่ห้อไหนดี”


ซึ่งถ้าหากถามจากหมอผิวหนังหลาย ๆ ท่าน ก็อาจจะได้รับคำตอบที่แตกต่างกันออกไป

“หมอคิดว่าการจะตอบคำถามนี้ให้ดีที่สุดนั้น ควรให้ความรู้ที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือโดยมีการอ้างอิงตามหลักวิชาการ เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจ และทุกท่านสามารถนำไปใช้พิจารณาในการเลือกผลิตภัณฑ์ได้เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคลได้อย่างดีที่สุดค่ะ”

หมอจะขอแบ่งเป็น 3 ตอนนะคะ

ตอนที่ 1 หลักการง่าย ๆ ในการเลือก Topical Vitamin C เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด

ตอนที่ 2 รวบรวมและแบ่งกลุ่ม Topical Vitamin C ในท้องตลาดตามหลักการตอนที่ 1


ตอนที่ 3 พูดถึงตัวอย่างผลิตภัณฑ์ Topical Vitamin C ในท้องตลาดตามคำขอ


ตอนที่ 4 เจาะลึกวิธีการทำอย่างไรให้ได้คุณสมบัติที่ดีในแต่ละอย่างข้างต้น

เรามาเริ่มตอนแรกกันเลย


วิตามินซีชนิดทามีกี่รูปแบบ ?
👩🏻‍⚕️ มี 2 แบบ คือ Pure Vitamin C (L-ascorbic acid) และ อนุพันธ์ของวิตามินซี (Vitamin C derivatives)

วิตามินซีที่ออกฤทธิ์ได้ดีและเห็นผลจริงควรมีคุณสมบัติอย่างไร ?
👩🏻‍⚕️ สามารถซึมผ่านชั้นผิวหนังกำพร้าลงไปออกฤทธิ์ที่ชั้นหนังแท้ส่วนบนได้ดี
👩🏻‍⚕️ มีความเสถียรและคงตัว
👩🏻‍⚕️ ระคายเคืองต่อผิวน้อยที่สุด
👩🏻‍⚕️ ช่วยลดการสร้างเม็ดสีและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้จริงจากการศึกษาวิจัย

จะเห็นได้ว่า ดีที่สุดคงหนีไม่พ้น Pure Vitamin C ซึ่งในที่นี้คือ L-Ascorbic acid (LAA) และปัจจุบันมีสารตัวใหม่ คือ 3-O-Ethyl L-Ascorbic acid (EA) ที่เชื่อว่าจะเห็นผลใกล้เคียง LAA มากที่สุด และควรเป็น solvent system ที่เหมาะสมจึงจะสามารถซึมผ่านผิวหนังเพื่อคุณสมบัติข้างต้นได้ ได้แก่ GLY, PG, HEX, PGML, PGMC เท่านั้น

กินวิตามินซีอยู่แล้วต้องทาด้วยหรือไม่ ?
👩🏻‍⚕️ เนื่องจากวิตามินซีในรูปแบบรับประทานสามารถออกฤทธิ์ได้ถึงแค่ผิวหนังแท้ส่วนลึกบริเวณที่มีหลอดเลือดมาเลี้ยงเท่านั้น จึงแนะนำให้ใช้รูปแบบทาร่วมด้วย ควรเป็นแบบที่สามารถทาแล้วซึมผ่านชั้นผิวหนังลงไปได้และยังคงตัวอยู่ในสภาพที่ออกฤทธิ์ในชั้นผิวหนังส่วนตื้นได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะบางชนิด อาจซึมได้ดีและเร็ว ทาแล้วให้ความรู้สึกที่ดีตามคำโฆษณา แต่อาจสูญเสียคุณสมบัติส่วนนี้ไป

เป็นสิวทาวิตามินซีได้หรือไม่
👩🏻‍⚕️ รูปแบบที่มีการศึกษาว่าช่วยลดการอักเสบของสิวได้ดี มีแบบเดียว คือ Sodium Ascorbyl Phosphate (SAP) ส่วนแบบอื่น ๆ สามารถทาเพื่อการบำรุงได้แต่ควรเลี่ยงผลิตภัณฑ์วิตามินซีที่มีส่วนผสมของ comedogenic substances or oils เพื่อลดการเกิดสิวมากขึ้นค่ะ

วิตามินซีที่เสถียรควรมีคุณสมบัติอย่างไร ?
👩🏻‍⚕️ pH < 3.5
👩🏻‍⚕️ ผสม Ferulic acid และ Vitamin E จะเป็นการเพิ่มคุณสมบัตินี้ให้ดียิ่งขึ้น
👩🏻‍⚕️ เก็บในบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม แนะนำชนิดสุญญากาศหัวปั๊ม ทึบแสง จะดีที่สุด

รูปแบบ Serum, Cream, Oil, Powder-based แตกต่างกันหรือไม่ ?
👩🏻‍⚕️ แตกต่างในแง่ของความสามารถในการคงตัวในเรื่องของ pH ทั้งนี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ตามมา พบว่าแบบ Serum-based คงตัวดีกว่า Cream-based
👩🏻‍⚕️ Powder-based มักสูญเสียคุณสมบัตินี้ไปในตอนที่มีการผสมน้ำก่อนการใช้ จะทำให้ค่า pH สูงขึ้นเป็น 6-7 ซึ่งออกฤทธิ์ได้ไม่ดี
👩🏻‍⚕️ Oil-based สามารถใช้ได้ดี แต่ควรต้องระวังกลุ่ม Comedogenic-oil

ความเข้มข้นที่สามารถออกฤทธิ์ ลดการสร้างเม็ดสีและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ผลจริงคือเท่าไหร่ ?
👩🏻‍⚕️ งานวิจัยจากการดูชิ้นเนื้อและกล้องที่ผิวหนัง พบว่า 8-20% คือเหมาะสมที่สุด
👩🏻‍⚕️ ความเข้มข้นน้อยกว่านี้ ยังไม่มีข้อมูลสรุปว่ามีคุณสมบัตินี้ได้จริงหรือไม่ มีเพียงการศึกษาที่พบว่าไม่ได้ผล แต่บางครั้งเราอาจเห็นความเปลี่ยนแปลงจากผิวหลังการทาวิตามินซีความเข้มข้นต่ำจากรีวิวสินค้าหรือโฆษณาต่าง ๆ เช่น ขาวขึ้น รอยลดลง ทั้งนี้อาจเป็นเรื่องของปัจจัยอื่น เช่น การบำรุงจากส่วนผสมอื่น ๆ เทคนิกการกระเจิงแสง การอุ้มน้ำในผิว เป็นต้น
👩🏻‍⚕️ ความเข้มข้นมากกว่านี้ มีการศึกษาชัดเจนว่า ไม่ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นมากนัก แต่สิ่งที่มากขึ้นคือ ผลข้างเคียงจากการระคายเคืองผิว และราคาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน

โดยหมอได้ค้นคว้าหาข้อมูลมาหลายเดือน พบว่ามีการศึกษามากมายทั้งทำการทดลองในผิวหนังของมนุษย์ (Human-based), ผิวหนังสัตว์ที่ใกล้เคียงมนุษย์ (Animal-based) และการศึกษาในหลอดทดลอง (In vitro) ได้สรุปง่าย ๆ ไว้ให้ในตาราง สิ่งที่ดีที่สุดก็คงเป็นการศึกษาที่เป็น Human-based ค่ะ ส่วนที่ยังไม่มีข้อมูลก็คงต้องรอเพิ่มเติมในอนาคตต่อไป

โดยพบว่า แบรนด์ที่ได้มาตรฐาน มักระบุคุณสมบัติข้างต้นไว้ชัดเจน เพื่อการันตีถึงความซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค และผู้บริโภคควรสอบถามข้อมูลเบื้องต้นต่าง ๆ เพื่อเลือกสิ่งที่ดีและเหมาะสมที่สุดกับตัวเอง ส่วนคุณสมบัติอื่น ๆ เช่น ความเหนียวของครีม การซึมช้าเร็ว ความมันวาว ความขาวใสหลังการทา ริ้วรอยลดลงหลังการทา อาจเพราะผลของ ingredient-based อื่น ๆ ซึ่งไม่สามารถนำมาประกอบการตัดสินประสิทธิภาพของ Topical Vitamin C ได้ เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านอื่น ๆ และช่วยในแง่ความรู้สึกต่อผลิตภัณฑ์ในการทาเท่านั้นค่ะ

หลังการทาวิตามินซี เราจะสามารถประเมินผลการเปลี่ยนแปลงของสภาพผิวในแง่ของ

  • ความกระจ่างใสจากผลของลดการสร้างเม็ดสี
  • ความอ่อนเยาว์ริ้วรอยดูน้อยลงจากผลของการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

จากงานวิจัยระบุว่า จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างผิว อย่างน้อย 3-4 เดือน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงหลังการทาเพียงไม่กี่ครั้งในระยะเวลาสั้น ๆ อาจยังไม่สามารถนำมาประกอบการวัดประสิทธิภาพได้ในทางวิชาการค่ะ

เบื้องต้นเท่านี้ก่อน แชร์ได้ไม่ว่ากัน
รอติดตามตอนต่อไป

แพทย์หญิงวรายุวดี อมรภิญโญ อายุรแพทย์โรคผิวหนัง

Disclaimer and Contact me

Welcome to “HELLO SKIN by หมอผิวหนัง”

Hi, I am Doctor Warayuwadee

My purpose to write this website is to share my medical & non-medical fans the information about medical dermatology, updated guideline, spot diagnosis, aesthetic medicine and tips for smart choosing cosmetic product and skincare upon my opinion with evidenced-base approach.

The information found on this website (helloskinderm.com) or youtube (Warayuwadee A.) is intended to be used as educational or resource information only; it is not intended to be a substitute for medical advice from your healthcare provider. This content should not be used during a medical emergency or for the diagnosis or treatment of any medical condition. If you have questions or concerns regarding your health, please see your doctor or healthcare provider. Call 1669 or your doctor for all medical emergencies.

While helloskinderm.com has made every effort to ensure accuracy of information on this website, we are not responsible for any errors or omissions in material provided or any results obtained from the use of this material. Neither helloskinderm.com nor its suppliers or vendors are responsible or liable for any claim, loss or damage directly nor indirectly resulting from the use of this site or from the information or resources obtained through this site.

The contents of all material available on this website are copyrighted unless otherwise indicated. All rights are reserved and content may not be reproduced, downloaded, disseminated, published, or transferred in any form or by any means, except with the prior written permission of Warayuwadee Amornpinyo. Requests for permission to reuse copyrighted content should be submitted to warayuwadee.a@gmail.com.”

For inquiries, please email me at: warayuwadee.a@gmail.com

เวบไซต์นี้เพื่อแชร์ความรู้ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และไม่สามารถใช้อ้างอิงหรือทดแทนการวินิจฉัยโรค หรือการตรวจรักษาโดยตรงจากแพทย์ได้ หากผู้อ่านเกิดเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ควรเรียกรถพยาบาล 1669 หรือแจ้งเหตุฉุกเฉิน 191 ทันที หรือหากพบความผิดปกติอะไรที่ไม่แน่ใจ แนะนำให้พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษา ผู้เขียนจะไม่รับผิดต่อความเสียหายใด ๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ที่เป็นผลหรือสืบเนื่องจากการที่ผู้ใช้เข้าใช้เว็บไซต์นี้หรือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์นี้

ขออนุญาตงดรับปรึกษาเคสทางสื่อโซเชียลทุกช่องทาง เนื่องด้วยข้อจำกัด พรบ. สื่อออนไลน์และเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดในการวินิจฉัยโรค

ในบางบทความอาจมีการอ้างอิงถึงผลิตภัณฑ์บางอย่างเพื่อประกอบความเข้าใจในเนื้อหา ผู้เขียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหาบทนั้น

เนื้อหาทุกบทความบนเวบไซต์นี้มีลิขสิทธิ์ ขอความกรุณาไม่คัดลอกบทความไปใช้ในเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เขียน และหากท่านนำบทความส่วนใดไปใช้จะต้องไม่มีการดัดแปลงเพื่อการพาณิชย์ และให้เครดิตทางเวบไซต์เสมอ

ความตั้งใจจริง คือ อยากสร้างสรรค์บทความที่มีประโยชน์ อ่านง่าย มีมาตรฐานที่ดี มี Evidence-based ทางการแพทย์ และ ยินดีน้อมรับคำติชมทุกประการเพื่อการพัฒนาค่ะ

ขอบคุณที่ติดตาม helloskinderm.com

แพทย์หญิงวรายุวดี อมรภิญโญ (หมอลูกเจี๊ยบ)
อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง

Warayuwadee Amornpinyo, M.D.

Head of Dermatology Division, Internal Medicine Department, Khon Kaen Hospital, Ministry of Public Health, Thailand

Qualifications
• Board-certified Internal Medicine, Faculty of Medicine, Khon Kaen University, Thailand
• Board-certified Dermatologist, Siriraj Hospital, Mahidol University, Thailand
• Doctor of Medicine (Honors degree), Faculty of Medicine, Khon Kaen University, Thailand
• Higher Graduate Diploma Program in Clinical Medical Sciences, Faculty of Medicine, Khon Kaen University, Thailand
• Certificated in Psychodermatology, St.John Institute of Dermatology, United Kingdom
• Certificated in American Aesthetic Medicine

ติดต่องาน warayuwadee.a@gmail.com หรือ Official Line ID: @drlookjeabnoi (มี@)