Azelaic acid เป็น saturated, straight-chained dicarboxylic acid ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีข้อมูลว่ามีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีที่ผิดปกติ (ย้ำ..!! เฉพาะเม็ดสีผิวที่ผิดปกติ)
ดังนั้นจึงสามารถใช้รักษาภาวะที่เกิดจากเม็ดสีทำงานมากผิดปกติ เช่น ฝ้า รอยดำ และมะเร็งผิวหนังชนิด lentigo maligna ได้ด้วย แต่ในคนที่เซลล์สร้างเม็ดสีผิวปกติดี และหวังผลจากการขาวขึ้นจากการใช้ AzA ก็อาจจะไม่ได้ผลเท่าไรนัก

นอกจากนั้นยังพบว่าช่วยรักษาสิวอุดตันและสิวอักเสบได้หลายกลไก
เรื่องการทา Azelaic acid กับ การรักษาสิว
กลไก คือ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียหลายชนิด รวมถึง S.aureus, S.epidermidis และ Cutibacterium acnes ซึ่งมีบทบาทในการก่อสิว
AzA มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ จึงช่วยรักษาสิวอักเสบดีขึ้นได้
AzA มีฤทธิ์ anti keratinizing effects พบว่าการทา 20% azelaic acid cream นาน 3 เดือนทำให้ผิวมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดเรียงตัวดีขึ้น จึงลดการเกิดสิวอุดตันตามมาได้
AzA ไม่มีผลต่อการลดการหลั่งน้ำมันผิว ดังนั้น จึงไม่ได้ประโยชน์ในการใช้เพื่อการลดความมันผิว

สิวที่ได้ผลการรักษาดี คือ สิวในระดับความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง หากสิวหัวหนองที่รุนแรง อาจได้ผลไม่ดีนักจึงควรพบแพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนังเพื่อรักษาวิธีอื่นร่วมด้วย
การทา 20% AzA cream วันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น จะเริ่มเห็นผลชัดเจนในการรักษาสิวเมื่อใช้ต่อเนื่อง 2 เดือน และหากทาต่อเนื่อง 4 เดือนขึ้นไปผลใกล้เคียงกับการทายาสิวชนิดอื่น
ผลการรักษาสิวอุดตันด้วย 20% AzA เทียบกับ topical 0.05% tretinoin (4 เดือน) พบว่าลดสิวอุดตันได้ใกล้เคียงกัน และผลข้างเคียงจาก AzA น้อยกว่า
ผลการรักษาสิวอักเสบด้วย 15% AzA เทียบกับ 5% benzyl peroxide (3-4 เดือน) พบว่าไม่ต่างกัน การใช้ BPO อาจทำให้สิวอักเสบยุบได้เร็วกว่าเล็กน้อย และพบว่ากลุ่ม BPO พบมีการระคายเคืองมากกว่า
ยังไม่มีรายงานเชื้อดื้อยาจากการรักษาสิวด้วย AzA จึงเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับการใช้ยาทากลุ่มยาทาฆ่าเชื้อ เช่น clindamycin, erythromycin ดังนั้น สามารถทาได้ต่อเนื่องยาวไปหากไม่มีผลข้างเคียงอะไร
เรื่องการทา Azelaic acid กับ การรักษารอยแดงรอยดำจากสิว
AzA มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวอ่อน ๆ จึงได้ผลดีในการช่วยลดรอยแดงและรอยดำตามหลังการเกิดสิวได้ และช่วยให้สีผิวเนียนสม่ำเสมอขึ้น
กรณีต้องการลดรอยดำ สามารถใช้ตั้งแต่ 15% AzA ขึ้นไป

เรื่องการทา Azelaic acid กับ การรักษาฝ้า
การทา 20% AzA ต่อเนื่อง 3-4 เดือน ทำให้ฝ้าจางลงได้ ใกล้เคียง 4% Hydroquinone และพบว่าได้ผลดีกว่า 2% Hydroquinone
การทา AzA ร่วมกับ Retinoic acid สามารถเสริมฤทธิ์ช่วยลดรอยดำได้ดีกว่าการทา AzA เดี่ยว ๆ แต่ต้องระวังการระคายเคือง
แนะนำให้ทาครีมกันแดดร่วมด้วยสม่ำเสมอจะทำให้ผลการรักษาฝ้ามีประสิทธิภาพดีขึ้น
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้เมื่อเริ่มทา AzA
ผลข้างเคียงไม่ค่อยมาก และ ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น จึงสามารถทาได้ทั้ง เช้าหรือเย็น
อาจมีการระคายเคือง ยุบยิบ แสบได้เล็กน้อย ในผู้ที่เริ่มใช้ช่วงแรก อาการเหล่านี้จะค่อยดีขึ้นและหายไปหลังจากผิวมีการปรับสภาพ หากแสบมากแนะนำให้เริ่มทาเป็นบางบริเวณ หรือทาแล้วล้างออก ค่อยเพิ่มระยะเวลามากขึ้น จนสามารถทาทิ้งไว้ได้
AzA สามารถใช้ต่อเนื่องได้ยาว ๆ หากไม่มีข้อห้ามหรือผลข้างเคียงจากการใช้ และสามารถใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้ เพียงระวังเรื่องการระคายเคืองที่อาจมากขึ้น และเว้นระยะห่างการทาจากกลุ่ม Vitamin C หรือ AHA, BHA เนื่องด้วยเรื่องของ pH

Azelaic acid กับ คนท้อง
พบว่ามีการดูดซึมน้อย มีความปลอดภัยและสามารถใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
BOTTOM LINE
บางคนบอกว่า Azelaic acid เหมือนครอบจักรวาล ช่วยแก้ปัญหาผิวได้หมด ทั้งสิวอุดตัน สิวอักเสบ รอยแดง รอยดำ ฝ้า หน้าแดง หน้าก็ใส คนท้องก็ใช้ได้ ต้องบอกว่า การออกฤทธิ์ที่ค่อนข้างครอบคลุมหลายภาวะหลายกลไกของ AzA จะไม่แรงมาก จึงเหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหลายอย่างปะปนกันในความรุนแรงเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ข้อดี คือ ผลข้างเคียงน้อย ค่อนข้างปลอดภัย

อย่างไรหากอาการไม่ดีขึ้น หรือไม่แน่ใจว่าเป็นสิว ฝ้า จริงหรือไม่ ควรพบแพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนัง (Board-certified Dermatologist) เพื่อร่วมดูแล
ด้วยความปรารถนาดี
▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️▫️
References
J Clin Aesthet Dermatol. 2018; 11(2): 28-37.
Br J Dermatol. 2013; 169 Suppl 3:4-56.
J Cosmet Dermatol. 2011; 10(4): 282-287.
J Drugs Dermatol. 2011; 10(6): 586-90.
Drugs. 1991 May;41(5):780-98.
บทความลิขสิทธิ์ Copyright © HELLO SKIN by หมอผิวหนัง All rights reserved.